โบรกเกอร์ Dealing Desks, No-Dealing Desks และ Hybird คืออะไร ?

สำหรับเทรดเดอร์ Forex การทำความเข้าใจประเภทของโบรกเกอร์ถือเป็นก้าวแรกสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น Dealing Desk (DD), No-Dealing Desk (NDD), หรือแบบผสม (Hybrid) ต่างก็มีรูปแบบการทำงานและส่งผลต่อการเทรดของคุณแตกต่างกันไป บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงความแตกต่างของโบรกเกอร์แต่ละประเภท เพื่อให้คุณสามารถเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณได้มากที่สุดครับ
โบรกเกอร์ Forex คือ ตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่างนักลงทุนและตลาดกลางเข้าด้วยกัน โดยทำหน้าที่ส่งคำสั่งของนักลงทุนไปยังตลาด เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อขายสินทรัพย์ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ การลงทุนผ่านโบรกเกอร์ Forex จะอยู่ในรูปแบบ CFDs เท่านั้น
โดยโบรกเกอร์ Forex นี้ จะมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่
- ประเภท Dealing Desk
- ประเภท No Dealing Desk
- ประเภท Hybrid
ซึ่งโบรกเกอร์ทั้ง 3 ประเภทนี้ จะมีหลักการทำงานที่แตกต่างกันออกไป โดยจะมีรายละเอียด ดังนี้
โบรกเกอร์ Dealing Desk (DD) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Market Maker" ทำหน้าที่เป็นผู้สร้างตลาดสำหรับลูกค้าของตนเอง โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาจะรับบทเป็นคู่สัญญาอีกฝั่งหนึ่งในการซื้อขายของลูกค้า
พูดง่าย ๆ ก็คือ แทนที่จะส่งคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์ไปยังตลาดกลางโดยตรง ทางโบรกเกอร์ Dealing Desk จะให้บริการกับเทรดเดอร์เองโดยตรง เพราะพวกเขาจะสร้างตลาดภายในสำหรับลูกค้า ทำให้สามารถควบคุมค่า Spread และจัดการความเสี่ยงได้ด้วยตนเอง
โบรกเกอร์ Dealing Desks (DD) ทำงานอย่างไร ? |
จากรูปภาพข้างต้นเป็นหลักการทำงานของโบรกเกอร์ Dealing Desk โดยเทรดเดอร์จะทำการซื้อขายสินทรัพย์ผ่านแพลตฟอร์มการเทรดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น MT4, MT5, TradingView หรือ cTrader ซึ่งโบรกเกอร์จะดำเนินการรวบรวมข้อมูลของลูกค้า เมื่อเทรดเดอร์ทำการกดเปิดคำสั่งซื้อขาย โบรกเกอร์ประเภท Dealing Desk ก็จะทำการจับคู่ออเดอร์ของเทรดเดอร์กับออเดอร์ของลูกค้าท่านอื่นให้
ยกตัวอย่างเช่น
เทรดเดอร์เปิดคำสั่งการซื้อขาย โดยเปิดออเดอร์ Buy คู่สกุลเงิน EUR/USD จำนวน 1 Lot แล้วโบรกเกอร์จะหาคำสั่งของลูกค้าฝั่งตรงข้ามให้เทรดเดอร์ คือ ออเดอร์ Sell EUR/USD มาจับคู่กับออเดอร์ Buy ของเทรดเดอร์นั่นเองครับ แต่หากโบรกเกอร์ไม่สามารถจับคู่ออเดอร์ให้ Match กันได้ ก็จะทำการส่งคำสั่ง Buy ของเทรดเดอร์ไปให้ผู้จัดการสภาพคล่องที่เป็นนิติบุคคลขนาดใหญ่ ที่มีความพร้อมจะซื้อขายอยู่แล้วครับ
ซึ่งวิธีการส่งออเดอร์ไปยังผู้บริการสภาพคล่องนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงให้กับโบรกเกอร์ โดยที่โบรกเกอร์จะได้รายได้จากค่า Spread และโบรกเกอร์ไม่ต้องถือออเดอร์ที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเทรดเดอร์เลย
โบรกเกอร์ Dealing Desks (DD) ทำกำไรอย่างไร ? |
โบรกเกอร์ Dealing Desk (DD) จะได้รับกำไรหลักจากการเป็นคู่สัญญากับทางลูกค้า ทางโบรกเกอร์จะทำการรับคำสั่งซื้อขายของลูกค้าไว้เอง โดยสร้างรายได้จาก ค่าสเปรด (ส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย) ที่ตนเป็นผู้กำหนด นอกจากนี้ โบรกเกอร์ยังสามารถทำกำไรได้โดยตรงจาก การขาดทุนของลูกค้า ยังมีรายได้จากค่า Swap อีกด้วย
โบรกเกอร์รูปแบบ No-Dealing Desk (NDD) คือ โบรกเกอร์ที่ทำหน้าที่เป็น "สะพาน" เชื่อมต่อคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์ไปยังตลาดกลาง (Interbank Market) หรือผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Providers) โดยตรง โดยที่โบรกเกอร์จะไม่เข้าไปแทรกแซงหรือเป็นคู่สัญญากับเทรดเดอร์เอง คำสั่งซื้อขายทั้งหมดจะถูกประมวลผลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างรวดเร็วและโปร่งใส
โบรกเกอร์ประเภท No-Dealing Desk จะแบ่งแยกประเภทการประมวลผลออกได้อีก 2 รูปแบบหลัก ดังนี้
- Straight Through Processing (STP)
- Electronic Communication Network (ECN)
โบรกเกอร์ No-Dealing Desks (NDD)ทำงานอย่างไร ? |
หลักการสำคัญของโบรกเกอร์ NDD คือ การส่งผ่านคำสั่ง (Order) ของเทรดเดอร์ไปยังแหล่งรวมสภาพคล่องที่ดีที่สุดโดยอัตโนมัติ โดยไม่มี "โต๊ะค้า" หรือ Dealing Desk มาคั่นกลาง
-
สำหรับโบรกเกอร์ STP (Straight Through Processing) : เมื่อเทรดเดอร์ทำการส่งคำสั่งซื้อขาย โบรกเกอร์ STP ก็จะส่งคำสั่งตรงไปยังกลุ่มผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Providers - LPs) ที่โบรกเกอร์เชื่อมต่ออยู่ ซึ่งอาจเป็นธนาคาร, กองทุน, หรือโบรกเกอร์ขนาดใหญ่อื่น ๆ โดยระบบจะเลือกราคา Bid/Ask ที่ดีที่สุดจาก LPs เหล่านั้น แล้วส่งมาให้เทรดเดอร์ โดยบวกส่วนต่างของสเปรด (Spread) เล็กน้อยเข้าไป
-
สำหรับโบรกเกอร์ ECN (Electronic Communication Network) : รูปแบบที่โปร่งใสและซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งโบรกเกอร์ ECN จะทำหน้าที่สร้าง "ตลาดกลาง" ขนาดย่อมขึ้นมาเอง โดยนำคำสั่งซื้อขายจากผู้เข้าร่วมตลาดทุกคน (ทั้งธนาคาร, สถาบันการเงิน, เทรดเดอร์รายย่อย, รวมถึงโบรกเกอร์อื่นๆ) มารวมกันไว้ในที่เดียว ทำให้เทรดเดอร์สามารถเห็นความลึกของตลาด (Depth of Market - DOM) และสามารถซื้อขายกับผู้เข้าร่วมตลาดคนอื่น ๆ ได้โดยตรง
ยกตัวอย่างเช่น
เทรดเดอร์เปิดออเดอร์ Buy คู่สกุลเงิน EUR/USD จำนวน 1 Lot ผ่านโบรกเกอร์ ECN คำสั่งของเทรดเดอร์จะถูกส่งเข้าไปในเครือข่าย ECN ทันที และไปปรากฏใน "สมุดคำสั่ง" (Order Book) เพื่อรอจับคู่กับออเดอร์ Sell ในราคาที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในระบบ ณ เวลานั้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจมาจากธนาคาร A, กองทุน B หรือเทรดเดอร์คนอื่น ๆ โดยที่โบรกเกอร์ของเทรดเดอร์ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในฝั่งตรงข้ามเลย
โบรกเกอร์ No-Dealing Desks (NDD) ทำกำไรอย่างไร ? |
เนื่องจากโบรกเกอร์ NDD ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับเทรดเดอร์โดยตรง รายได้ของโบรกเกอร์ NDD จึงไม่ได้มาจาก "การขาดทุนของลูกค้า" ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญที่สร้างความโปร่งใส โดยรายได้หลักของโบรกเกอร์ NDD จะมาจาก 2 ทาง ดังนี้
-
การบวกส่วนต่างสเปรด (Spread) : สำหรับโบรกเกอร์ STP ส่วนใหญ่ พวกเขาจะได้รับราคา "สเปรดดิบ" (Raw Spread) จากผู้ให้บริการสภาพคล่อง และทำการบวกส่วนต่างเพิ่มเข้าไปเล็กน้อยเป็นค่าบริการ ดังนั้น สเปรดที่เทรดเดอร์เห็นจึงกว้างกว่าสเปรดดิบเล็กน้อย
-
ค่าคอมมิชชัน (Commission) : สำหรับโบรกเกอร์ ECN พวกเขามักจะให้เทรดเดอร์เทรดบน "สเปรดดิบ" ที่แคบมาก ๆ หรือเป็น 0 แต่จะคิดค่าบริการเป็น "ค่าคอมมิชชัน" แยกต่างหากต่อการซื้อขายแต่ละครั้ง (เช่น $3.5 ต่อการเทรด 1 Lot)
ดังนั้น ผลประโยชน์ของโบรกเกอร์ NDD จึงสอดคล้องกับเทรดเดอร์ คือ ยิ่งเทรดเดอร์เทรดมากเท่าไหร่ โบรกเกอร์ก็ยิ่งมีรายได้จากค่าคอมมิชชันและ Spread มากขึ้นเท่านั้น
โบรกเกอร์แบบ Hybrid คือ โบรกเกอร์ที่ใช้โมเดลธุรกิจแบบ "ผสมผสาน" โดยนำข้อดีของโบรกเกอร์ทั้งสองประเภทหลัก คือ Dealing Desk (DD/Market Maker) และ No-Dealing Desk (NDD/STP/ECN) มาปรับใช้ร่วมกัน เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงและสร้างรายได้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
โบรกเกอร์แบบ Hybrid ทำงานอย่างไร ? |
หัวใจของโบรกเกอร์ประเภทนี้ คือ "การคัดแยกออเดอร์" โดยโบรกเกอร์จะใช้ระบบเพื่อตัดสินใจว่าจะจัดการกับคำสั่งซื้อขายของลูกค้าอย่างไร ซึ่งจะเป็นการทำงานแบบผสมผสานกันระหว่าง Dealing Desk และ No-Dealing Desk
-
การจัดการแบบ B-Book (Dealing Desk) : สำหรับออเดอร์ของเทรดเดอร์รายย่อย, เทรดเดอร์มือใหม่ หรือบัญชีที่มีเงินทุนน้อย โบรกเกอร์อาจตัดสินใจ "เก็บออเดอร์ไว้เอง" และทำตัวเป็น Market Maker เนื่องจากออเดอร์กลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่ำต่อโบรกเกอร์
-
การจัดการแบบ A-Book (No-Dealing Desk) : สำหรับออเดอร์ของเทรดเดอร์มืออาชีพ, บัญชีที่มีขนาดใหญ่ หรือผู้ที่ทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ โบรกเกอร์จะไม่อยากรับความเสี่ยงไว้เอง และจะส่งคำสั่งซื้อขายเหล่านั้นตรงไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่อง (LP) ในรูปแบบ STP/ECN ทันที
ยกตัวอย่างเช่น
เทรดเดอร์ A เป็นมือใหม่ เทรดด้วย Lot ขนาดเล็กเพียง 0.01 Lot โบรกเกอร์อาจตัดสินใจรับออเดอร์ของนาย A ไว้เอง (B-Book) ในขณะที่เทรดเดอร์ B เป็นนักเทรดกองทุนที่เปิดออเดอร์ขนาดใหญ่ถึง 50 Lots โบรกเกอร์จะส่งออเดอร์ของนาย B ตรงไปยัง Liquidity Providers ทันที (A-Book) เพื่อป้องกันความเสี่ยงของตัวเอง
โบรกเกอร์แบบ Hybrid ทำกำไรอย่างไร ? |
โบรกเกอร์แบบ Hybrid มีความยืดหยุ่นในการสร้างรายได้สูงที่สุด เพราะสามารถทำกำไรได้จากทั้ง 2 รูปแบบ ดังนี้
-
จากฝั่ง Dealing Desk (B-Book) : โบรกเกอร์จะมีรายได้จากค่า Spread และจากการขาดทุนของลูกค้า เหมือนกับโบรกเกอร์ DD ทั่วไป
-
จากฝั่ง No-Dealing Desk (A-Book) : สำหรับออเดอร์ที่ส่งออกไปข้างนอก โบรกเกอร์จะมีรายได้จากการบวกส่วนต่างสเปรด (Spread) หรือค่าคอมมิชชัน (Commission) เช่นเดียวกับโบรกเกอร์ NDD
โมเดลนี้ช่วยให้โบรกเกอร์สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในปัจจุบัน โบรกเกอร์ Forex ชั้นนำส่วนใหญ่ในตลาดก็มักจะใช้โมเดลแบบ Hybrid ครับ
เทรดเดอร์สมบัติ | Dealing Desk (DD) | No-Dealing Desk (NDD) | Hybrid |
ชื่อเรียกอื่น | Market Maker (ผู้สร้างสภาพคล่อง) | STP, ECN หรือโบรกเกอร์ตัวกลาง |
A-Book + B-Book
|
หลักการทำงาน | รับออเดอร์ไว้เอง (B-Book) และสร้างตลาดภายใน | ส่งออเดอร์ไปยังตลาดกลางโดยตรง (A-Book) |
คัดแยกออเดอร์ตามโปรไฟล์ลูกค้า
|
การส่งคำสั่ง | ไม่ได้ส่งออเดอร์ไปตลาดจริง | ส่งออเดอร์ไปตลาดจริง |
ส่งออเดอร์จริง (สำหรับ A-Book) และเก็บออเดอร์ไว้เอง (สำหรับ B-Book)
|
คู่สัญญา (ฝั่งตรงข้าม) | โบรกเกอร์เอง | ผู้ให้บริการสภาพคล่อง (LP) / ผู้เข้าร่วมตลาดอื่น |
โบรกเกอร์เอง หรือผู้ให้บริการสภาพคล่อง (LP)
|
ประเภทสเปรด | ส่วนใหญ่คงที่ (Fixed) | ส่วนใหญ่ผันแปร (Variable) และแคบ |
เป็นได้ทั้งสองแบบ
|
แหล่งรายได้หลัก | 1. ค่าสเปรด 2. การขาดทุนของลูกค้า | 1. ค่าคอมมิชชัน (ECN) 2. การบวกสเปรดเพิ่ม (STP) |
รายได้จากทุกช่องทาง (ทั้งแบบ DD และ NDD)
|
ความเร็วในการส่งคำสั่ง | อาจช้ากว่าและมี Requote | รวดเร็วมาก |
ขึ้นอยู่กับว่าออเดอร์ถูกจัดไปอยู่ฝั่งไหน
|
เหมาะกับใคร | เทรดเดอร์มือใหม่, ผู้ที่ชอบความเรียบง่ายและสเปรดคงที่ | เทรดเดอร์มืออาชีพ, Scalper และผู้ที่ต้องการความโปร่งใสสูงสุด |
รองรับเทรดเดอร์ทุกประเภท (โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน)
|
ต่อไปจะเป็นการแนะนำการเลือกโบรกเกอร์ ว่าควรเลือกโบรกเกอร์ประเภทไหนดี ? ระหว่าง Broker Dealing Desks, Broker No-Dealing Desks และ Hybrid
มาถึงช่วงสุดท้ายของบทความกันแล้ว ในส่วนนี้จะเป็นการแนะนำการเลือกใช้บริการโบรกเกอร์ของทั้ง 3 ประเภท ก่อนอื่นเลยต้องขอบอกก่อนว่า โบรกเกอร์แต่ละประเภทนั้นมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป จึงควรตัดสินใจเลือกตามความต้องการของเทรดเดอร์จริง ๆ ว่าต้องการจะโฟกัสจุดดีในส่วนไหน
ตัวอย่างเช่น
- หากเทรดเดอร์ต้องการโบรกเกอร์ที่มีค่าบริการที่ค่อนข้างถูกและ Spread คงที่ เทรดเดอร์ควรเลือกโบรกเกอร์ Dealing Desks
- หากเทรดเดอร์ต้องการเลือกโบรกเกอร์ที่มีความปลอดภัย และยอมรับค่าบริการที่สูงได้ เทรดเดอร์อาจจะเลือกโบรกเกอร์แบบ No-Dealing Desks
อย่างไรก็ตาม การที่เทรดเดอร์จะเลือกโบรกเกอร์ในการเทรดนั้น ควรดูหลาย ๆ ปัจจัยร่วมด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นความน่าเชื่อถือของบริษัทนั้น ประสบการณ์การใช้งานของคนอื่น ๆ โดยดูจากรีวิว (แบบข้อมูลจริง) หรือจะคลิกเข้ามาอ่านเพิ่มในรีวิวโบรกเกอร์ที่ผมได้เขียนก็ได้ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ เพราะหลาย ๆ โบรกเกอร์ทำการตลาดกันค่อนข้างหนัก เพื่อทำให้ลูกค้าหันไปใช้บริการของตัวเอง และขอบอกก่อนว่าโบรกเกอร์แบบ No-Dealing Desks อาจจะไม่ได้มีความน่าเชื่อถือเสมอไป และบางครั้งโบรกเกอร์แบบ Dealing Desks อาจจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าก็ได้ครับ
หากเทรดเดอร์มีความสนใจในเรื่องของการลงทุนเหมือนกันกับผม
สามารถติดตามความรู้เกี่ยวกับ Forex ได้ทางเว็บไซต์ www.thaiforexreview.com
ติดตามความเคลื่อนไหวและการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Thaiforexreview
ติดตามข่าวสารการลงทุนและบทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์ได้ที่ Forex Analysis
อ่านบทความสาระดี ๆ ได้ที่ Blogs
อ่านรีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยมได้ที่ Top Brokers
แนะนำโบรกเกอร์สำหรับคุณ
