Harmonic Pattern คืออะไร? พร้อมรูปแบบสำคัญที่ควรรู้

ในโลกของการเทรดที่เต็มไปด้วยความผันผวน เทรดเดอร์ต่างมองหาเครื่องมือที่จะช่วยคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาให้แม่นยำที่สุด หลายคนอาจคุ้นเคยกับการใช้ Indicator หรือการตีเส้นแนวโน้ม แต่ยังมีศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่ซับซ้อนและน่าทึ่งยิ่งกว่า นั่นคือ Harmonic Pattern
Harmonic Pattern ไม่ใช่แค่การลากเส้นบนกราฟ แต่มันคือ การผสมผสานระหว่างรูปทรงเรขาคณิตกับสัดส่วนมหัศจรรย์ทางคณิตศาสตร์อย่าง Fibonacci เพื่อมองหารูปแบบราคาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ซึ่งการเกิดรูปแบบเช่นนี้สามารถบอกถึงจุดกลับตัวของราคาได้ โดยบทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Harmonic Pattern ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐานไปจนถึงรูปแบบที่นิยมใช้กันครับ
Harmonic Pattern คือ อีกหนึ่งรูปแบบกราฟที่ใช้ในการวิเคราะห์กราฟเพื่อหาทิศทางของราคา คล้ายกับเทคนิค Chart Pattern ซึ่งสามารถช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นแนวโน้มราคาโดยการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
แต่ Harmonic Pattern นั้น จะมีข้อแตกต่างจาก Chart Pattern ตรงที่มีการใช้อัตราส่วน Fibonacci ในการวัดหาจุดกลับตัวและให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นรูปทรงเรขาคณิตในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์และการทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ครับ โดยนักลงทุน Harold McKinley Gartley ได้สร้างรูปแบบฮาร์มอนิกขึ้นในปี 1932 และกลายมาเป็นที่ยอมรับเพราะมีความแม่นยำสูง จนถูกนำไปปรับใช้อย่างแพร่หลายในตลาดการเงิน
เทคนิคการเทรด Forex ยังมีอยู่อีกหลายเทคนิค หากต้องการยกระดับความรู้การเทรด สามารถเข้าไปศึกษาบทความการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพิ่มเติมได้ครับ |
Harmonic Pattern เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสูงที่อาศัยสัดส่วน Fibonacci ในการระบุรูปแบบกราฟราคา เพื่อคาดการณ์บริเวณจุดกลับตัว (Reversal Zone) ที่มีความแม่นยำสูง สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกตลาดการลงทุนที่มีสภาพคล่อง เช่น Forex, หุ้น, และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่ง Harmonic Pattern นี้จะทำงานได้ดีที่สุดในการหาจุดสิ้นสุดของแนวโน้มที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง เพื่อหาจังหวะเข้าเทรดสวนทางแนวโน้มเดิม ณ บริเวณที่คาดว่า ราคาจะเกิดการกลับตัว
โดยทั่วไปแล้ว เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและลดสัญญาณรบกวน ควรใช้ Harmonic Pattern ใน Time Frame ใหญ่ตั้งแต่ H4 ขึ้นไป ซึ่งจะให้สัญญาณที่แม่นยำกว่า Time Frame เล็ก โดยเทรดเดอร์มืออาชีพมักใช้ Harmonic Pattern เป็นเครื่องมือยืนยันสัญญาณร่วมกับการวิเคราะห์แนวโน้มหลัก เพื่อหาจุดเข้าออเดอร์ที่ได้เปรียบและมีอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่คุ้มค่า (Risk Reward Ratio) ไม่ใช่การใช้เพื่อบอกทิศทางแนวโน้มโดยตรง
Harmonic Pattern จะมีองค์ประกอบที่สำคัญหลัก ๆ อยู่ 3 ส่วน ดังนี้
-
จุดราคา (Price Points) เป็นจุดสวิงของราคา (Swing High/Swing Low) ที่ใช้กำหนดโครงสร้าง มี 5 จุด คือ X, A, B, C และ D
- X : จุดเริ่มต้นของรูปแบบ เป็นจุดอ้างอิงหลัก
- A : จุดสูงสุดหรือต่ำสุดแรกที่เกิดจากการเคลื่อนที่จากจุด X
- B : จุดย่อตัวของเส้น XA
- C : จุดที่ราคาวิ่งกลับไปทางเดียวกับเส้น XA
- D : จุดที่สำคัญที่สุด เป็นโซนกลับตัวของราคา (Potential Reversal Zone - PRZ) และเป็นจุดสิ้นสุดของรูปแบบ
-
คลื่นราคา (Price Legs) คือ การเคลื่อนไหวของราคาที่เชื่อมระหว่างจุดต่าง ๆ มี 4 คลื่น คือ XA, AB, BC และ CD
-
Fibonacci Ratio องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของ Harmonic Pattern ที่ใช้กำหนดความสมบูรณ์ของรูปแบบ โดยแต่ละคลื่นจะต้องมีความสัมพันธ์กันตามอัตราส่วน Fibonacci ที่เฉพาะเจาะจง เช่น จุด B ต้องย่อตัว 61.8% ของเส้น XA ในรูปแบบ Gartley เป็นต้น
เมื่อองค์ประกอบทั้ง 3 อย่างนี้สอดคล้องกันอย่างถูกต้องตามกฎของแต่ละรูปแบบ (เช่น Gartley, Bat หรือ Butterfly) จึงจะถือว่าเป็น Harmonic Pattern ที่สมบูรณ์และมีความน่าเชื่อถือสูงในการหาจุดกลับตัวของราคานั่นเองครับ
Fibonacci คือ ลำดับเลขฟีโบนัชชี ที่ถูกค้นพบโดย Leonardo Fibonacci นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ซึ่งมีแนวคิดหลักของลำดับเลขชุดนี้ คือ การนำตัวเลขก่อนหน้า 2 ลำดับ มารวมกัน และได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นตัวเลขปัจจุบันหรือลำดับถัดไป และสำหรับใครที่ต้องการอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ Fibonacci และทำความเข้าใจให้มากขึ้น ทาง Thaiforexreview ก็ได้มีการเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้อย่างละเอียดแล้ว เทรดเดอร์สามารถอ่านเพิ่มเติมในบทความฟีโบนัชชีได้เลยครับ
ในแต่ละรูปแบบของ Harmonic Pattern จะมี 5 จุดสำคัญที่แทนด้วยตัวอักษรครับ ซึ่งจะมี X, A, B, C และ D ที่เรียกได้ว่าเป็นระดับราคาที่มีนัยสำคัญที่ช่วยกำหนดรูปแบบและโซนการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นได้
▶ จุด X คือ จุดเริ่มต้นของ Harmonic Pattern ซึ่งใช้เป็นฐานอ้างอิงในการวัดการเคลื่อนไหวของราคาต่อไป โดยจุด X ไม่ได้บอกแนวโน้ม แต่จะเป็นตัวเริ่มต้นให้เกิดจุดแรกของรูปแบบ
▶ จุด A คือ จุดกลับตัวจุดแรกจากจุดเริ่มต้น X ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของการเคลื่อนไหวของราคาเริ่มต้นที่นำไปสู่การสร้างรูปแบบฮาร์โมนิก (เช่น Gartley, Bat และ Crab ฯลฯ) โดยการเคลื่อนไหวจาก X ไปยัง A มักจะเป็นการเคลื่อนที่แบบย้อนกลับของการเคลื่อนไหวของราคาเดิม
▶ จุด B คือ การย้อนกลับจากจุด A โดยเคลื่อนที่สวนทางกับการเคลื่อนไหวจาก X ไป A ซึ่งจุด B มักจะสัมพันธ์กับสัดส่วนของ Fibonacci ของจุด X ไป A โดยถือเป็นจุดที่ช่วยยืนยันว่ากราฟกำลังเข้าสู่การสร้างรูปแบบ Harmonic แต่ถ้าจุด B ไม่เข้าเงื่อนไขตามสัดส่วนของ Fibonacci ที่กำหนดตามแพตเทิร์นก็จะถือว่าไม่ใช่รูปแบบ Harmonic ครับ
▶ จุด C คือ จุดที่ราคากลับตัวมาอีกครั้ง โดยเคลื่อนที่สวนทางกับการเคลื่อนไหวจาก A ไป B ซึ่งจุด C ต้องสัมพันธ์กับสัดส่วนของ Fibonacci ของจุด A ไป B เพื่อช่วยให้โครงสร้างรูปแบบ Harmonic เริ่มชัดเจนขึ้นและช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ตำแหน่งจุด D ได้อย่างแม่นยำขึ้น เพราะบางครั้งกราฟอาจจะแสดงแพตเทิร์นที่คล้ายกัน แต่ไม่ใช่รูปแบบ Harmonic ครับ
▶ จุด D คือ จุดสำคัญของ Harmonic Pattern ที่จะบ่งบอกถึงโอกาสการกลับตัวของราคา ซึ่งจุด D ถูกกำหนดจากการคำนวณสัดส่วนของ Fibonacci จากจุด X ไปยัง A, A ไปยัง B และ B ไปยัง C อีกทั้งเมื่อราคามาถึงจุด D แล้วเกิดสัญญาณการกลับตัว ก็ถือว่าเป็นจุดที่เหมาะสมในการตัดสินใจเข้าออเดอร์
หากเทรดเดอร์ได้รู้จักความสำคัญของจุดต่าง ๆ กันไปแล้ว เรามาทำความรู้จักกับรูปแบบของ Harmonic Pattern กันครับ
Harmonic Pattern มีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีโครงสร้างราคาและสัดส่วน Fibonacci ที่ต่างกันไป แต่ใช้หลักการเดียวกัน คือ หาจุดกลับตัวของราคาตลาด โดยทางทีมงาน Thaiforexreview ได้รวบรวมรูปแบบหลัก ๆ 6 รูปแบบ ดังนี้
Bearish Gartley เป็นสัญญาณกลับตัวขาลง โดยราคาจะเริ่มจากจุด X ลงไปยังจุด A จากนั้นปรับตัวขึ้นมาที่จุด B ซึ่งมักอยู่ที่สัดส่วน Fibonacci 0.618 วัดจากจุด X ไปจุด A ก่อนที่จะกลับลงมาทดสอบที่จุด C ในสัดส่วน 0.382–0.886 วัดจากจุด A ไปจุด B ต่อมาราคาจะขึ้นไปที่จุด D ซึ่งอยู่ใกล้ระดับ Fibonacci 0.786 วัดจากจุด X ไปจุด A และจุด D ต้องอยู่สูงกว่าจุด B เสมอ โดยจุด D จะทำหน้าที่เป็นแนวต้านสำคัญ หากราคามาถึงแล้วไม่สามารถทะลุขึ้นไปได้ มักจะบอกถึงสัญญาณการกลับตัวลง ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าออเดอร์ Sell ได้ครับ
Bullish Gartley เป็นสัญญาณกลับตัวขาขึ้น โดยราคาจะเริ่มจากจุด X ขึ้นไปทดสอบที่จุด A ซึ่งจุด A ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน จากนั้นราคาปรับตัวลงมาที่จุด B ซึ่งมักอยู่ที่สัดส่วน Fibonacci 0.618 วัดจากจุด X ไปจุด A ต่อมาราคาขึ้นไปที่จุด C โดยอยู่ในช่วงสัดส่วน Fibonacci 0.382–0.886 วัดจากจุด A ไปจุด B หลังจากนั้นราคาได้ลงไปที่จุด D ซึ่งอยู่ใกล้ระดับ Fibonacci 0.786 วัดจากจุด X ไปจุด A โดยจุด D จะทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญ หากราคามาถึงจุด D แล้วไม่หลุดลงไป มักจะบอกถึงสัญญาณการกลับตัวขึ้น ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าออเดอร์ Buy ได้ครับ
-----------------------------
Bearish Butterfly คือ สัญญาณกลับตัวเป็นขาลง โดยราคาจะเริ่มจากจุด X ลงมาที่จุด A จากนั้นจะดีดตัวขึ้นไปที่จุด B ซึ่งจะอยู่ที่สัดส่วน Fibonacci 0.786 วัดจากจุด X ไปจุด A ก่อนที่จะย่อตัวลงมาที่จุด C ในสัดส่วน 0.382-0.886 วัดจากจุด A ไปจุด B จากนั้นราคาจะพุ่งขึ้นไปทำ High ใหม่ที่จุด D ในระดับ Fibonacci 1.272-1.618 วัดจากจุด X ไปจุด A โดยจุด D จะต้องอยู่สูงกว่าจุด X เสมอ และจุด D จะทำหน้าที่เป็นแนวต้านสำคัญ หากราคามาถึงแล้วไม่สามารถทะลุจุด D ไปได้ จะเป็นการบอกถึงสัญญาณการกลับตัวลง ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าออเดอร์ Sell ได้ครับ
Bullish Butterfly คือ สัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น โดยราคาจะเริ่มจากจุด X ขึ้นไปทดสอบที่จุด A ก่อนที่ราคาจะย่อตัวลงมาที่จุด B ซึ่งจะอยู่ที่สัดส่วน Fibonacci 0.786 วัดจากจุด X ไปจุด A หลังจากนั้นราคาได้ดีดตัวขึ้นไปที่จุด C โดยอยู่ในช่วงสัดส่วน Fibonacci 0.382-0.886 วัดจากจุด A ไปจุด B แล้วราคาได้ลงมาทำ Low ใหม่ที่จุด D ในระดับ Fibonacci 1.272-1.618 วัดจากจุด X ไปจุด A โดยจุด D จะต้องอยู่ต่ำกว่าจุด X เสมอ และจุด D จะทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญ หากราคามาถึงจุด D แล้วไม่สามารถหลุดลงไปได้ มักจะบอกถึงสัญญาณการกลับตัวขึ้น ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าออเดอร์ Buy ได้ครับ
-----------------------------
Bearish Bat คือ สัญญาณกลับตัวเป็นขาลง โดยราคาจะเริ่มจากจุด X ลงมาทำ Low ที่จุด A ก่อนจะดีดตัวขึ้นไปที่จุด B ซึ่งจะอยู่ที่สัดส่วน Fibonacci 0.382-0.500 วัดจากจุด X ไปจุด A หลังจากนั้นราคาได้ลงมาที่จุด C ในสัดส่วน Fibonacci 0.382-0.886 วัดจากจุด A ไปจุด B จากนั้นราคาได้ขึ้นไปทดสอบที่จุด D ซึ่งอยู่ที่ระดับ Fibonacci 0.886 วัดจากจุด X ไปจุด A โดยจุด D จะต้องไม่สูงกว่าจุด X แต่อยู่ใกล้จุด X เสมอ และจุด D จะทำหน้าที่เป็นแนวต้านสำคัญ หากราคามาถึงแล้วไม่สามารถทะลุจุด D ขึ้นไปได้ จะเป็นการบอกถึงสัญญาณการกลับตัวลง ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าออเดอร์ Sell ได้ครับ
Bullish Bat คือ สัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น โดยราคาจะเริ่มจากจุด X ขยับขึ้นไปทำ High ที่จุด A ก่อนที่จะย่อตัวลงมาที่จุด B ซึ่งอยู่ที่สัดส่วน Fibonacci 0.382-0.500 วัดจากจุด X ไปจุด A ก่อนที่ราคาจะดีดตัวขึ้นไปที่จุด C ในสัดส่วน Fibonacci 0.382-0.886 วัดจากจุด A ไปจุด B หลังจากนั้นราคาได้ลงไปที่จุด D ซึ่งอยู่ในระดับ Fibonacci 0.886 วัดจากจุด X ไปจุด A โดยจุด D จะต้องไม่ต่ำกว่าจุด X แต่อยู่ใกล้จุด X เสมอ และจุด D จะทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญ หากราคามาถึงจุด D แล้วไม่หลุดลงไป มักจะบอกถึงสัญญาณการกลับตัวขึ้น ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าออเดอร์ Buy ได้ครับ
-----------------------------
Bearish Crab คือ สัญญาณกลับตัวเป็นขาลง โดยราคาจะเริ่มจากจุด X ลงมาที่จุด A ก่อนจะดีดตัวขึ้นไปที่จุด B ซึ่งจะอยู่ที่สัดส่วน Fibonacci 0.382-0.618 วัดจากจุด X ไปจุด A หลังจากนั้นราคาได้ย่อตัวลงมาที่จุด C ในสัดส่วน Fibonacci 0.382-0.886 วัดจากจุด A ไปจุด B ก่อนที่ราคาจะเกิดการพุ่งขึ้นไปทำ High ใหม่ที่จุด D ซึ่งอยู่ที่ระดับ Fibonacci 1.618 วัดจากจุด X ไปจุด A โดยจุด D จะทำหน้าที่เป็นแนวต้านสำคัญ หากราคามาถึงแล้วไม่สามารถทะลุจุด D ขึ้นไปได้ จะเป็นการบอกถึงสัญญาณการกลับตัวลงและอาจจะอยู่ในโซน Overbought ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าออเดอร์ Sell ได้ครับ
Bullish Crab คือ สัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น โดยราคาจะเริ่มจากจุด X ขึ้นไปยังจุด A ก่อนที่จะย่อลงมาที่จุด B ในสัดส่วน Fibonacci 0.382-0.618 วัดจากจุด X ไปจุด A จากนั้นราคาได้ดีดตัวขึ้นไปที่จุด C ซึ่งอยู่ในสัดส่วน Fibonacci 0.382-0.886 วัดจากจุด A ไปจุด B หลังจากนั้นราคาได้ลงไปทำ Low ใหม่ที่จุด D ซึ่งอยู่ในระดับ Fibonacci 1.618 วัดจากจุด X ไปจุด A โดยจุด D จะทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญ หากราคามาถึงจุด D แล้วไม่หลุดลงไป มักจะบอกถึงสัญญาณการกลับตัวขึ้นและอาจจะอยู่ในโซน Oversold ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าออเดอร์ Buy ได้
-----------------------------
Bearish Cypher คือ สัญญาณกลับตัวเป็นขาลง โดยราคาจะเริ่มจากจุด X ลงมาที่จุด A แล้วดีดตัวขึ้นไปที่จุด B ซึ่งจะอยู่ที่สัดส่วน Fibonacci 0.382-0.618 วัดจากจุด X ไปจุด A หลังจากนั้นราคาได้ย่อตัวลงไปทำ Low ใหม่ที่จุด C ซึ่งอยู่ที่ระดับ Fibonacci 1.272-1.414 วัดจากจุด A ไปจุด B ก่อนที่จะกลับตัวขึ้นไปที่จุด D ซึ่งอยู่ที่ระดับ Fibonacci 0.786 วัดจากจุด X ไปจุด A โดยจุด D จะทำหน้าที่เป็นแนวต้านสำคัญ หากราคามาถึงแล้วไม่สามารถทะลุจุด D ไปได้ จะเป็นการบอกถึงสัญญาณการกลับตัวลงและราคาอาจจะอยู่ในโซน Overbought ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าออเดอร์ Sell ได้ครับ
Bullish Cypher คือ สัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น โดยราคาจะเริ่มจากจุด X ขึ้นไปยังจุด A ก่อนที่จะย่อตัวลงมาที่จุด B ในสัดส่วน Fibonacci 0.382-0.618 วัดจากจุด X ไปจุด A จากนั้นราคาได้ดีดตัวขึ้นไปที่จุด C ซึ่งอยู่ที่ระดับ Fibonacci 1.272-1.414 วัดจากจุด A ไปจุด B หลังจากนั้นราคาย่อตัวลงไปที่จุด D ในระดับ Fibonacci 0.786 วัดจากจุด X ไปจุด A โดยจุด D จะทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญ หากราคามาถึงจุด D แล้วไม่หลุดลงไป มักจะบอกถึงสัญญาณการกลับตัวขึ้นและอาจจะอยู่ในโซน Oversold ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าออเดอร์ Buy ได้
-----------------------------
Bearish Shark คือ สัญญาณกลับตัวเป็นขาลง โดยราคาจะเริ่มจากจุด 0 วิ่งลงมาที่จุด X แล้วดีดตัวขึ้นไปที่จุด A จากนั้นราคาจะย่อตัวลงมาที่จุด B ซึ่งเป็น Low ใหม่ที่อยู่ต่ำกว่าจุด X โดยอยู่ที่ระดับ Fibonacci 1.13-1.618 วัดจากจุด X ไปจุด A หลังจากนั้นราคาได้ดีดตัวขึ้นไปที่จุด C ซึ่งเป็นจุดกลับตัวและเป็นแนวต้านสำคัญที่ระดับ Fibonacci 0.886-1.13 วัดจากจุด 0 ไปจุด X หากราคามาถึงแล้วไม่สามารถทะลุจุด C ไปได้ จะเป็นการบอกถึงสัญญาณการกลับตัวลง ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าออเดอร์ Sell ได้ครับ
Bullish Shark คือ สัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น โดยราคาจะเริ่มจากจุด 0 วิ่งขึ้นไปที่จุด X แล้วย่อตัวลงมาที่จุด A จากนั้นราคาจะดีดตัวขึ้นไปที่จุด B ซึ่งเป็น High ใหม่ที่สูงกว่าจุด X โดยอยู่ที่ระดับ Fibonacci 1.13-1.618 วัดจากจุด X ไปจุด A หลังจากนั้นราคาได้ย่อตัวลงมาที่จุด C ซึ่งเป็นจุดกลับตัวและเป็นแนวรับสำคัญที่ระดับ Fibonacci 0.886-1.13 วัดจากจุด 0 ไปจุด X หากราคามาถึงจุด C แล้วไม่หลุดลงไป มักจะบอกถึงสัญญาณการกลับตัวขึ้น ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าออเดอร์ Buy ได้
หมายเหตุ : การสร้างรูปแบบของ Shark Harmonic จะแตกต่างจากรูปแบบอื่น ๆ โดยปกติแล้วจะเริ่มต้นที่จุด X แล้วไป ABCD แต่รูปแบบ Shark จะเริ่มต้นด้วย O ก่อนที่จะไป XABC และจุด PRZ ก็คือจุด C ครับ
Harmonic Pattern เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้โครงสร้างราคาและสัดส่วน Fibonacci มาช่วยหาจุดกลับตัวของตลาด โดยมีรูปทรงที่ชัดเจน อย่างรูปทรงตัว M และตัว W ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นสัญญาณล่วงหน้าได้ง่ายขึ้น โดยทั่วไปแล้ว Bearish Harmonic Pattern (ลักษณะคล้ายตัว M) มักบอกถึงการกลับตัวลง เหมาะกับการพิจารณาเปิดออเดอร์ Sell ขณะที่ Bullish Harmonic Pattern (ลักษณะคล้ายตัว W) มักบอกถึงการกลับตัวขึ้น เหมาะกับการพิจารณาเปิดออเดอร์ Buy ดังนั้น Thaiforexreview จะพาเทรดเดอร์ไปทำความเข้าใจและหาตำแหน่งของ Harmonic Pattern ในการเทรดกันครับ
▶ เริ่มต้นจากการที่เทรดเดอร์ต้องหาจุดสำคัญ X, A, B, C และ D ก่อน
- เริ่มจากหาจุด X และ A โดยดูจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เริ่มย่อตัวลงและราคากำลังกลับตัวขึ้นมา โดยจะใช้จุด X และ A เป็นฐานในการวัดสัดส่วน Fibonacci
- หาจุด B จากการที่ราคากลับตัวขึ้นมาในสัดส่วน Fibonacci 0.382–0.618 ของการวัดจากจุด X ไปจุด A
- จากนั้น สร้างเส้น Fibonacci จากจุด A ไปจุด B เพื่อใช้ในการวัดหาจุด C
- หาจุด C จากการที่ราคาย่อตัวลงมาที่สัดส่วน Fibonacci 1.272–1.414 ของการวัด Fibonacci จากจุด A ไปจุด B
- หาจุด D จากการดูว่าที่ดูราคามีการดีดตัวกลับขึ้นไปที่สัดส่วน Fibonacci 0.786-0.886 ของการวัดจากจุด X ไปจุด A ซึ่งจุด D ต้องไม่สูงกว่าจุด X แต่จะอยู่ใกล้กับจุด X มาก
▶ เมื่อเทรดเดอร์หาจุดสำคัญทั้งหมดได้แล้ว เทรดเดอร์จะได้รูปแบบ Bearish Cypher Harmonic Pattern โดยรูปแบบนี้จะบอกถึงสัญญาณการกลับตัวลง เมื่อราคาถึงจุด D แล้วไม่สามารถทะลุขึ้นไปได้ เทรดเดอร์สามารถพิจารณาการเปิดออเดอร์ Sell ได้ครับ
อย่างไรก็ตาม ในการเทรดทุกครั้งเทรดเดอร์ควรตั้ง Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP) ทุกครั้งเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน โดยการตั้ง SL และ TP ในรูปแบบ Bearish Cypher Harmonic Pattern เทรดเดอร์สามารถตั้งได้ ดังนี้
- ตั้ง SL ไว้ เหนือจุด X เล็กน้อย เพราะถ้าราคาทะลุผ่านจุด X ไปได้ เทรดเดอร์อาจจะใช้รูปแบบนี้ไม่ได้
- ตั้ง TP ที่จุด B, จุด C หรือลากเส้น Fibonacci จากจุด A ไปจุด D และใช้สัดส่วน Fibonacci 1.272-1.618 เพื่อกำหนดเป้าหมายทำกำไรครับ
▶ เริ่มต้นจากการที่เทรดเดอร์ต้องหาจุดสำคัญ X, A, B, C และ D
- เริ่มจากหาจุด X และ A โดยดูจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เริ่มมีแรงดีดตัวขึ้นและเกิดการกลับตัวลงมา โดยจะใช้จุด X และ A เป็นฐานในการวัดสัดส่วน Fibonacci
- หาจุด B จากการที่ราคาย่อตัวลงมาในสัดส่วน Fibonacci 0.618 ของการวัดจากจุด X ไปจุด A
- จากนั้น สร้างเส้น Fibonacci จากจุด A ไปจุด B เพื่อใช้ในการวัดหาจุด C
- หาจุด C จากการที่ราคามีการดีดตัวขึ้นไปที่สัดส่วน Fibonacci 0.886 ของการวัดจากจุด A ไปจุด B
- หาจุด D จากการที่ราคาย่อตัวลงมาอีกครั้งที่สัดส่วน Fibonacci 0.786 ของการวัดจากจุด X ไปจุด A ซึ่งจุด D จะต้องอยู่ไม่ต่ำกว่าจุด X
▶ เมื่อเทรดเดอร์หาจุดสำคัญทั้งหมดได้แล้ว เทรดเดอร์จะได้รูปแบบ Bullish Gartley Harmonic Pattern โดยรูปแบบนี้จะบอกถึงสัญญาณการกลับตัวขึ้น เมื่อราคาถึงจุด D แล้วไม่สามารถทะลุลงไปได้ เทรดเดอร์สามารถพิจารณาการเปิดออเดอร์ Buy ได้ครับ
อย่างไรก็ตาม ในการเทรดทุกครั้งเทรดเดอร์ควรตั้ง Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP) เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน โดยการตั้ง SL และ TP ในรูปแบบ Bullish Gartley Harmonic Pattern เทรดเดอร์สามารถตั้งได้ ดังนี้
- ตั้ง SL ไว้ ต่ำกว่าจุด X เล็กน้อย เพราะถ้าราคาทะลุผ่านจุด X ไปได้ เทรดเดอร์อาจจะใช้รูปแบบนี้ไม่ได้
- ตั้ง TP ที่จุด B, จุด C หรือลากเส้น Fibonacci จากจุด A ไปจุด D และใช้สัดส่วน Fibonacci 1.272–1.618 เพื่อกำหนดเป้าหมายทำกำไรครับ
- มีแผนการเข้าออเดอร์ที่ชัดเจน : Harmonic Pattern จะช่วยให้เรามีแบบแผนเข้าออเดอร์อย่างชัดเจน ไม่ต้องเสียเวลาเฝ้ากราฟ
- สามารถกำหนดจุดทำกำไร : เนื่องจาก Harmonic Pattern มีความซับซ้อนและมีขั้นตอนการคำนวณที่รอบคอบ จนทำให้เราสามารถกำหนดความเสี่ยงและกำไรได้ จึงเหมาะกับคนที่ชอบความชัดเจน
- เป็นรูปแบบที่มีความแม่นยำสูง : เพราะ Harmonic Pattern ใช้อัตราส่วน Fibonacci ซึ่งเป็นระดับทั่วไปและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการวิเคราะห์ทางเทคนิค อัตราส่วนเหล่านี้สามารถช่วยระบุพื้นที่ที่เป็นไปได้ของแนวรับ แนวต้าน และการกลับตัวในตลาดได้ชัดเจนและค่อนข้างแม่นยำ
- อาจเกิดความสับสนจนวิเคราะห์ผิดพลาด : เนื่องจาก Harmonic Pattern นั้นมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก หากเราจำผิดก็อาจทำให้วิเคราะห์ผิดทางได้เช่นกันครับ
- ความถี่ของการเกิดขึ้นต่ำ: รูปแบบการเกิด Harmonic แต่ละแบบไม่เหมือนกันและมักนิยมใช้ใน TF ใหญ่ ซึ่งอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่ชอบทำกำไรทุกวัน หรือดู TF ต่ำกว่า H4 ครับ
- ไม่ได้ถูกต้อง 100% เสมอไป : พึงระวังไว้เสมอว่า ไม่ว่าจะอินดิเคเตอร์ตัวไหน รูปแบบใด ก็ไม่ได้การันตีว่าจะให้สัญญาณที่ถูกต้อง 100% เสมอไป ดังนั้น ควรระวังสัญญาณหลอกไว้ด้วยนะครับ
Harmonic Pattern มีทั้งหมดกี่รูปแบบ?
🔸 Harmonic Pattern มีทั้งหมด 6 รูปแบบหลัก ๆ ได้แก่ Gartley, Bat, Butterfly, Crab, Shark และ Cypher
Harmonic Pattern ใช้งานอย่างไร?
🔸 Harmonic Pattern เป็นการใช้สัดส่วนของ Fibonacci เพื่อระบุจุดกลับตัวของราคาบนกราฟ โดยทั่วไปจะใช้รูปแบบทางเรขาคณิตที่เกิดจากราคาเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต
Harmonic Calculator คืออะไร?
🔸 Harmonic Calculator เป็นเครื่องมือที่ช่วยคำนวณและหาตำแหน่ง Harmonic Pattern โดยใช้สัดส่วน Fibonacci เพื่อบอกจุดกลับตัวของราคาอย่างแม่นยำครับ
บทความที่เกี่ยวข้องกับ Harmonic Pattern เพิ่มเติม
- Forex คืออะไร? มือใหม่เริ่มต้นเทรดยังไงดี?
- เทคนิคการเทรด Forex พร้อมวิธีปั้นพอร์ตให้เติบโตในระยะยาว
- Price Action คืออะไร? เทคนิคเทรดที่เทรดเดอร์ Forex ควรรู้
Harmonic Pattern เป็นหนึ่งในพฤติกรรมกราฟที่เราสามารถนำมาปรับใช้ในการเทรดได้ แต่ก็ต้องเพิ่มการสังเกตให้มากขึ้นนะครับ เพราะว่าแต่ละรูปแบบของ Harmonic Pattern นั้น มีความคล้ายคลึงกันสูงมาก ทางทีมงาน Thaiforexreview จึงแนะนำให้เทรดเดอร์ทุกคนตั้งจุด TP และ SL เสมอ เพื่อเป็นการจำกัดความเสี่ยงเท่าที่เรารับได้ และเพื่อป้องกันการสูญเสียเงินทุนของเราครับ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่เทรดเดอร์และผู้ที่สนใจไม่มากก็น้อยนะครับ ฝากติดตามเว็บไซต์รวมถึงช่องทางต่าง ๆ ของพวกเราเพื่อไม่พลาดความรู้หรือเรื่องราวน่าสนใจใหม่ ๆ ไว้ด้วยนะครับ
หากคุณมีความสนใจในเรื่องของการลงทุนเหมือนกันกับผม
สามารถติดตามความรู้เกี่ยวกับ Forex ได้ทางเว็บไซต์ www.thaiforexreview.com
ติดตามความเคลื่อนไหวและการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Thaiforexreview
ติดตามข่าวสารการลงทุนและบทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์ได้ที่ Forex Analysis
อ่านบทความสาระดี ๆ ได้ที่ Blogs
อ่านรีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยมได้ที่ Top Brokers
แนะนำโบรกเกอร์สำหรับคุณ
