Divergence คืออะไร? รู้จักเทคนิคการดู พร้อมตัวอย่างการทำกำไร

สัญญาณ Divergence คืออะไร? สามารถทำให้เทรดเดอร์สร้างกำไรได้จริงไหม? บทความนี้ผมจะพาทุกท่านมารู้จักสัญญาณของกราฟที่ช่วยในการทำกำไรตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นสัญญาณที่นิยมใช้กันอย่างมากในการทำกำไร โดยสัญญาณนี้ถูกเรียกในวงการเทรดเดอร์ว่าการเกิด สัญญาณ Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณการกลับตัวของเทรนด์ เทรดเดอร์หลาย ๆ คนนำวิธีนี้ไปปรับใช้ในระบบการเทรดของตัวเองและสามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ หากคุณพร้อมแล้ว มาเริ่มทำความรู้จักกับสัญญาณ Divergence ได้เลยครับ
Divergence คือ การที่ทิศทางของสัญญาณอินดิเคเตอร์กับราคาไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสัญญาณ Divergence ส่วนใหญ่จะใช้เป็นการบ่งบอกถึงสัญญาณการกลับตัวของเทรนด์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวิธีที่เทรดเดอร์นิยมใช้เพื่อจับจังหวะการกลับตัวของเทรนด์
โดยวิธีการดูสัญญาณ Divergence ง่าย ๆ คือ การดูกราฟราคาสินทรัพย์นั้น ร่วมกับ Indicator เพื่อหาสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ เช่น RSI และ MACD ที่เคลื่อนไหวสวนทางกับการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ ซึ่งจะทำให้เทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้จากการเทรดโดยสังเกตดูสัญญาณ Divergence และอีกหนึ่งข้อดีคือ เทรดเดอร์อาจจะสามารถซื้อหรือขายสินทรัพย์นั้น ๆ ได้ในราคาที่ดีที่สุดของเทรนด์เลยก็ว่าได้ครับ
เทรดเดอร์สามารถดูสัญญาณ Divergence ได้ทั้งในช่วงเทรนด์ขาขึ้นและเทรนด์ขาลงครับ
📈 เมื่อสินทรัพย์ที่เทรดเดอร์กำลังเทรดอยู่เป็นช่วงตลาดขึ้น แล้วสักพักราคาได้เกิดสัญญาณ Divergence เทรดเดอร์ก็สามารถคาดการณ์ได้ว่า เทรนด์ขาขึ้นกำลังจะจบและราคาอาจจะกลับมาเทรนด์ขาลง โดยเทรดเดอร์สามารถใช้โอกาสนี้ในการเปิดออเดอร์ Sell ได้ครับ
📉 ในทางกลับกัน เมื่อสินทรัพย์ที่เทรดเดอร์กำลังเทรดอยู่เป็นช่วงตลาดขาลง แล้วสักพักราคาได้เกิดสัญญาณ Divergence เทรดเดอร์ก็สามารถคาดการณ์ได้ว่า เทรนด์ขาลงกำลังจะจบและราคาอาจจะกลับมาเป็นเทรนด์ขาขึ้น โดยเทรดเดอร์สามารถใช้โอกาสนี้ในการเปิดออเดอร์ Buy ได้ครับ
โดยลักษณะกราฟของการเกิดสัญญาณ Divergence จะมีลักษณะ ดังนี้
หากสัญญาณ Divergence อยู่ใน Timeframe ใหญ่ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้มากขึ้นว่าสัญญาณ Divergence ครั้งนี้มีโอกาสสูงที่กราฟจะกลับตัวได้ ซึ่งหากเทรดเดอร์สามารถดูสัญญาณ Divergence เป็นแล้ว ก็เทคนิคที่จะช่วยให้เทรดเดอร์ลดความเสี่ยงในการขาดทุนและเพิ่มโอกาสในการสร้างกำไรได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนนำเทคนิคนี้ไปใช้ เทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจกับรูปแบบของ Divergence หรือ Divergence Pattern ให้ชัดเจนเสียก่อน เพื่อลดโอกาสผิดพลาดในการตีความสัญญาณ Divergence ครับ
Divergence Pattern คือ รูปแบบของสัญญาณ Divergence ที่เกิดขึ้นเมื่อทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาแตกต่างจากทิศทางการเคลื่อนไหวของอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เช่น RSI, MACD หรือ Stochastic ซึ่งความแตกต่างนี้มักถูกใช้เป็นสัญญาณทางเทคนิคที่บอกถึงแนวโน้มราคาปัจจุบันที่อาจจะกำลังอ่อนแรงลงและมีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวในอนาคตครับ
โดยทั่วไป Divergence Pattern สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ Regular Divergence และ Hidden Divergence ซึ่งแต่ละรูปแบบมีรายละเอียดดังนี้
Regular Divergence คือ การเกิด Divergence แบบปกติ ที่จะใช้ในการบอกว่า กราฟอาจจะมีการกลับตัวของเทรนด์ในอีกไม่ช้า ซึ่งการเกิดสัญญาณนี้จะขึ้นอยู่กับกรอบเวลา (Timeframe) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ เพราะการให้สัญญาณแต่ละกรอบเวลาจะไม่พร้อมกัน เช่น หากเทรดเดอร์ใช้กรอบเวลาที่เล็กอย่าง 1 ถึง 15 นาที จะทำให้เกิดการส่งสัญญาณ Divergence เร็วและอาจเป็นสัญญาณหลอกได้ แต่ถ้าหากใช้กรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้นมาอย่าง 30 นาที ถึง 4 ชั่วโมง การให้สัญญาณ Divergence จะค่อนข้างช้ากว่ากรอบเวลาที่เล็ก แต่อาจมีความแม่นยำมากกว่า โดยทั่วไป Regular Divergence สามารถที่จะแบ่งออกได้ 2 สัญญาณ ดังนี้
Bullish Divergence คือ การที่ราคาทำจุด Low ใหม่ต่ำลงเรื่อย ๆ ในขณะที่อินดิเคเตอร์ปรับตัวขึ้น โดยสัญญาณ Bullish Divergence ถือเป็น สัญญาณกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น ซึ่งเทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้จากการเปิดออเดอร์ Buy ครับ
ตัวอย่างการเกิด Bullish Divergence
จากภาพกราฟราคาได้เกิดรูปแบบ Lower Lows (LL) แต่ MACD กลับเกิด Higher Lows (HL) ดังนั้น จึงถือว่าเป็นการเกิด Bullish Divergence หรือว่าสัญญาณ Divergence ขาขึ้นแบบปกติ (Regular Bullish Divergence) ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการจบเทรนด์ขาลง
Bearish Divergence คือ การที่ราคาทำจุด High ใหม่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่อินดิเคเตอร์ปรับตัวลดลง โดยสัญญาณ Bearish Divergence ถือเป็น สัญญาณกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง ซึ่งเทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้จากการเปิดออเดอร์ Sell ครับ
ตัวอย่างการเกิด Bearish Divergence
จากภาพกราฟราคาได้เกิด Higher High (HH) แต่ว่า MACD กลับเกิด Lower High (LH) เท่ากับว่า กราฟเกิดสัญญาณ Bearish Divergence หรือสัญญาณ Divergence ขาลงแบบปกติ (Regular Bearish Divergence) โดย Divergence ลักษณะนี้สามารถพบได้ในช่วงตลาดขาขึ้น หรือหลังจากที่เกิดราคาสูงสุดครั้งใหม่ ซึ่งเทรดเดอร์สามารถที่จะคาดการณ์ได้ว่าราคากำลังจะเกิดจุดกลับตัวและร่วงลงมาได้ครับ
Hidden Divergence คือ การเกิด Divergence แบบแฝง ที่มักใช้เป็นสัญญาณยืนยันว่าจะเกิดเทรนด์ต่อเนื่อง โดยจะพบได้บ่อยในช่วงที่ราคามีการปรับฐานหรือตลาดเกิดการย่อตัวชั่วคราว ซึ่ง Hidden Divergence จะช่วยให้เทรดเดอร์หาจังหวะเข้าเทรดตามแนวโน้มได้แม่นยำขึ้น โดยทั่วไป Hidden Divergence สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 สัญญาณ ดังนี้
Hidden Bullish Divergence คือ สัญญาณ Divergence ขาขึ้นที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่แล้ว โดยจะเกิดขึ้นเมื่อราคาได้เกิด Higher Low (HL) แต่อินดิเคเตอร์กลับให้เกิด Lower Low (LL) สัญญาณนี้หมายความว่าราคายังมีแรงซื้ออยู่และมีโอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างการเกิด Hidden Bullish Divergence
จากภาพกราฟราคาได้เกิดรูปแบบ Higher Lows (HL) แต่ MACD กลับเกิดรูปแบบ Lower Lows (LL) ดังนั้นจึงถือว่าเป็นการเกิด Hidden Bullish Divergence หรือสัญญาณ Divergence ขาขึ้นแบบแฝง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และเป็นการยืนยันว่าราคามีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อไปตามแนวโน้มหลัก
Hidden Bearish Divergence คือ สัญญาณ Divergence ขาลงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลงอยู่แล้ว โดยจะเกิดขึ้นเมื่อราคาทำ Lower High (LH) แต่อินดิเคเตอร์กลับทำ Higher High (HH) ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่าแรงขายยังมีอยู่และมีโอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวในทิศทางขาลงต่ออย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างการเกิด Hidden Bearish Divergence
จากภาพกราฟราคาได้เกิดรูปแบบ Lower Highs (LH) แต่ RSI กลับเกิดรูปแบบ Higher Highs (HH) ดังนั้น จึงถือว่าเป็นการเกิด Hidden Bearish Divergence หรือสัญญาณ Divergence ขาลงแบบแฝง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง และเป็นการยืนยันว่าราคามีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลงต่อไปตามแนวโน้มหลักครับ
อย่างไรก็ตาม ทางทีมงานแนะนำให้เลี่ยงการใช้งานสัญญาณ Hidden Divergence ในการเทรด เนื่องจากการใช้งานจริง สัญญาณแบบ Hidden Divergence มีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างต่ำ และยังหาสัญญาณยากอีกด้วย เมื่อเทียบกับสัญญาณ Divergence แบบปกติ โดยจะสังเกตได้จากภาพตัวอย่างก่อนหน้า ซึ่งกราฟจะมีการกลับตัวลงในสัญญาณ Hidden Bullish Divergence และกราฟกลับตัวขึ้นในสัญญาณ Hidden Bearish Divergence และถ้าหากสังเกตดี ๆ จะพบว่า ในตัวอย่างสัญญาณ Hidden Divergence ทั้ง 2 ตัว มีสัญญาณ Regular Divergence แฝงอยู่ทั้ง 2 ตัวอย่าง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้สัญญาณ Hidden Divergence มีประสิทธิภาพลดลงนั่นเองครับ
Divergence เป็นสัญญาณที่จำเป็นที่จะต้องใช้อินดิเคเตอร์ในการช่วยหา เนื่องจากกราฟราคาไม่สามารถที่จะให้สัญญาณดังกล่าวได้เอง โดยเทรดเดอร์สามารถที่จะหาสัญญาณ Divergence ได้จากอินดิเคเตอร์เหล่านี้
RSI ย่อมาจาก Relative Strength Index เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคประเภทโมเมนตัม (Momentum) ที่ใช้วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวราคาของสินทรัพย์
โดย RSI จะวัดค่าจาก 0 ถึง 100
- ค่า RSI ต่ำกว่า 30 แสดงถึงภาวะ Oversold หรือ ขายมากเกินไป
- ค่า RSI สูงกว่า 70 แสดงถึงภาวะ Overbought หรือ ซื้อมากเกินไป
เทรดเดอร์นิยมใช้ RSI ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการซื้อขาย
ตัวอย่างการเกิดสัญญาณ Divergence RSI
จากภาพกราฟราคาได้เกิดรูปแบบ Lower Lows (LL) แต่ RSI กลับเกิดรูปแบบ Higher Lows (HL) ดังนั้น จึงถือว่าเป็นการเกิด Regular Bullish Divergence หรือสัญญาณ Divergence ขาขึ้นแบบปกติ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงท้ายของแนวโน้มขาลงและยังบ่งบอกถึงโอกาสที่ราคาจะกลับตัวปรับขึ้นเป็นขาขึ้นครับ
MACD ย่อมาจาก Moving Average Convergence Divergence เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคประเภทโมเมนตัม (Momentum) ที่ใช้บอกแนวโน้มของราคา และบอกได้ว่าจุดไหนควรซื้อหรือขายบ้าง
ตัวอย่างการเกิดสัญญาณ Divergence ใน MACD
จากภาพกราฟราคาได้เกิดรูปแบบ Higher High (HH) แต่ MACD กลับเกิดรูปแบบ Lower High (LH) ดังนั้น จึงถือว่าเป็นการเกิด Regular Bearish Divergence หรือสัญญาณ Divergence ขาลงแบบปกติ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่เป็นตลาดขาขึ้นหรือหลังจากที่ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ เป็นการบอกถึงโอกาสที่ราคาจะกลับตัวปรับลงเป็นขาลงครับ
Stochastic Oscillator (Stoch) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคประเภท Oscillator ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคาเพื่อหาจุดซื้อขาย โดยหลักการใช้งาน Stoch มีดังนี้
- เส้นตัดกันขึ้น : หากเส้นสีน้ำเงินตัดขึ้นไปอยู่เหนือเส้นสีส้ม แสดงว่า ราคามีโอกาสเปลี่ยนแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้น
- เส้นตัดกันลง : หากเส้นสีน้ำเงินตัดลงไปอยู่ใต้เส้นสีส้ม แสดงว่า ราคามีโอกาสเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง
ตัวอย่างการเกิดสัญญาณ Divergence ใน Stochastic Oscillator
จากภาพกราฟราคาได้เกิดรูปแบบ Lower Lows (LL) แต่ Stoch กลับเกิดรูปแบบ Higher Lows (HL) และเส้น Stoch สีน้ำเงินตัดขึ้นเหนือเส้นสีส้ม ดังนั้น จึงถือว่าเป็นการเกิด Regular Bullish Divergence หรือสัญญาณ Divergence ขาขึ้นแบบปกติ ซึ่งมักจะเกิดในช่วงท้ายของแนวโน้มขาลงและยังบอกถึงโอกาสการกลับตัวขึ้น โดยมีสัญญาณการตัดกันของเส้น Stoch มาช่วยยืนยันเพิ่มเติมอีกด้วยครับ
Awesome Oscillator (AO) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคประเภทโมเมนตัม (Momentum) ใช้วัดความแรงและทิศทางของโมเมนตัมของตลาด
AO คำนวณจากความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย (SMA) ระยะสั้น 5 ช่วง และ SMA ระยะยาว 34 ช่วง ค่า AO ที่แกว่งไปมาระหว่างค่าบวกและค่าลบ แสดงถึงความแข็งแกร่งของโมเมนตัมขาขึ้นและขาลง
โดยสัญญาณจาก AO จะบ่งบอก ดังนี้
- ค่า AO ที่เพิ่มขึ้น : บ่งบอกถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ถือว่าเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังจะเป็นขาขึ้น
- ค่า AO ที่ลดลง : บ่งบอกถึงโมเมนตัมขาลงที่แข็งแกร่ง ถือว่าเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังจะเป็นขาลง
ตัวอย่างกราฟ Divergence AO
จากภาพกราฟราคาได้เกิดรูปแบบ Lower Lows (LL) แต่ AO กลับเกิดรูปแบบ Higher Lows (HL) และค่า AO เริ่มเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น จึงถือว่าเป็นการเกิด Regular Bullish Divergence หรือสัญญาณ Divergence ขาขึ้นแบบปกติ ซึ่งมักจะเกิดในช่วงท้ายของแนวโน้มขาลงและยังบอกถึงโอกาสการกลับตัวขึ้น โดยมีสัญญาณของค่า AO ที่เพิ่มสูงขึ้นมาช่วยยืนยันเพิ่มเติมอีกด้วยครับ
อย่างไรก็ตาม หากเทรดเดอร์สังเกตจะเห็นได้ว่าอินดิเคเตอร์ทั้ง 4 ตัวที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ทั้งหมด แต่มีเพียงอินดิเคเตอร์ตัวเดียวที่ไม่ได้แสดงผลในรูปแบบเส้น นั่นก็คือ Awesome Oscillator ซึ่งจะสามารถที่จะให้สัญญาณ Divergence ได้เหมือนกันกับตัวอื่น ๆ ครับ
ในการใช้สัญญาณ Divergence เข้ามาร่วมกับการวิเคราะห์กราฟ จะมีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 อย่าง ที่จะทำให้การเทรดด้วยสัญญาณ Divergence มีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้
1. ราคาต้องอยู่ในระดับแนวรับแนวต้าน
ในการเทรดด้วยสัญญาณ Divergence ราคาจำเป็นจะต้องอยู่ในระดับแนวรับแนวต้าน เนื่องจากราคามักเกิดการกลับตัวบ่อยครั้ง
2. อินดิเคเตอร์ต้องอยู่ในโซน Overbought หรือ Oversold หรือใกล้เคียง
ราคามักเกิดการกลับตัวบ่อยครั้ง ในช่วงที่อินดิเคเตอร์อยู่ในระดับ Overbought หรือ Oversold
3. รอสัญญาณยืนยันก่อนเข้าเทรด
Price Action หรือรูปแบบของแท่งเทียน จะช่วยยืนยันการกลับตัวได้ดี โดยเทรดเดอร์มักจะรอสัญญาณการกลับตัวด้วยแท่งเทียน Doji, Hammer หรือ Shooting Star เป็นต้น
สัญญาณต่าง ๆ ในตลาด เป็นเพียงแค่หนึ่งในทฤษฎีที่จะทำให้เทรดเดอร์สามารถที่จะคาดการณ์สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับกราฟเบื้องต้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ควรที่จะคำนึงถึงข้อควรระวังของสัญญาณ Divergence ดังต่อไปนี้
1. Divergence ไม่ได้กลับตัวทุกครั้งหรือกลับตัวทันที
การที่กราฟได้เกิดสัญญาณ Divergence นั้น ไม่ได้แปลว่าราคาจะเกิดการกลับตัวในทุก ๆ ครั้ง หรือจะกลับตัวในทันที การที่ Divergence จะเกิดการกลับตัวนั้นจะต้องพึ่งปัจจัยหลายอย่าง เช่น การเกิด Price Action ที่บริเวณแนวรับแนวต้าน เป็นต้น และหากว่าในช่วงนั้นมีปัจจัยพื้นฐานแทรกเข้ามา การเกิดสัญญาณ Divergence แทบจะไม่มีผลกับกราฟเลย
2. คาดการณ์ว่าจะเกิด Divergence
การคาดการณ์ หรือการคาดเดาเป็นนิสัยปกติของเทรดเดอร์ แต่สำหรับ Divergence เทรดเดอร์ไม่ควรที่จะคาดการณ์ว่ากราฟกำลังจะเกิดสัญญาณ Divergence และทำการเข้าเทรดเพื่อดักหน้าราคาไปก่อน การกระทำแบบนี้จะทำให้เทรดเดอร์เสียนิสัย และยังทำให้ขาดทุนเป็นจำนวนมากได้
สัญญาณ Divergence Convergence คืออะไร?
▶ สัญญาณ Divergence คือ สัญญาณการกลับตัว สังเกตได้จากเมื่อกราฟราคา และอินดิเคเตอร์เคลื่อนที่ตรงข้ามกัน ส่วน Convergence คือ สัญญาณที่บอกว่าราคาและอินดิเคเตอร์มีโอกาสที่จะไปต่อในทิศทางเดียวกัน สังเกตได้จากเมื่อกราฟราคาและอินดิเคเตอร์เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน
Divergence และ Convergence แปลว่าอะไร?
▶ Divergence แปลว่า ความผกผันกันหรือแตกต่างกัน ส่วน Convergence แปลว่า การบรรจบกัน
Divergence Forex คืออะไร?
▶ สัญญาณที่บ่งบอกถึงการกลับตัวในตลาด Forex จากความขัดแย้งระหว่างกราฟราคาและอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator
Hidden Bullish Divergence คืออะไร?
▶ Hidden Bullish Divergence คือ สัญญาณที่บอกว่าราคามีแนวโน้มจะขึ้นต่อ แม้ว่าอินดิเคเตอร์จะทำจุดต่ำใหม่ (LL) แต่ราคายังทำจุดต่ำสูงขึ้น (HL) แสดงว่าแรงซื้อยังแข็งแกร่งในแนวโน้มขาขึ้นเดิมครับ
Divergence คือ สัญญาณการกลับตัวของกราฟราคา ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ Regular Divergence และ Hidden Divergence ซึ่ง Hidden Divergence เป็นการส่งสัญญาณให้เทรดเดอร์ได้ทราบว่ากราฟพร้อมที่จะวิ่งไปต่อในเทรนด์ดังกล่าว ซึ่งจะต่างกับ Regular Divergence โดยมีข้อสังเกตสำคัญคือ กราฟจะต้องเกิดที่บริเวณแนวรับหรือแนวต้านและอินดิเคเตอร์ต้องเกิดการขัดแย้งกันกับทิศทางของราคา อีกทั้งยังต้องเกิดในช่วง Overbought หรือ Oversold ถึงจะเป็นสัญญาณที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดครับ
อย่างไรก็ตาม การเทรด Forex นั้น ไม่ได้พึ่งพาแค่เทคนิคการเทรด อย่างการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือทางปัจจัยพื้นฐานเท่านั้น แต่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาวินัยอีกด้วย เนื่องจากวินัยเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เทรดเดอร์ไปสู่ความสำเร็จนั่นเองครับ
หากคุณมีความสนใจในเรื่องของการลงทุนเหมือนกันกับผม
สามารถติดตามความรู้เกี่ยวกับ Forex ได้ทางเว็บไซต์ www.thaiforexreview.com
ติดตามความเคลื่อนไหวและการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Thaiforexreview
ติดตามข่าวสารการลงทุนและบทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์ได้ที่ Forex Analysis
อ่านบทความสาระดี ๆ ได้ที่ Blogs
อ่านรีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยมได้ที่ Top Brokers
แนะนำโบรกเกอร์สำหรับคุณ
