Momentum Indicator กลยุทธ์จับแรงโมเมนตัมทำกำไรในตลาด Forex


Momentum Indicator กลยุทธ์จับแรงโมเมนตัมทำกำไรในตลาด Forex

สำหรับ Momentum Indicator ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้แก่เทรดเดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Momentum Indicator ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์การเทรดแบบ Momentum Trading ได้เช่นกัน ในบทความนี้ Thaiforexreview จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ Momentum Indicator ที่ช่วยบอกสภาวะตลาดและการแกว่งตัวของราคาสินทรัพย์ ซึ่งจะมีอินดิเคเตอร์ตัวไหนบ้างที่ได้รับความนิยม ไปศึกษาและทำความเข้าใจกันในบทความนี้เลยครับ

 

Momentum Indicator คืออะไร ? 

Momentum Indicator คือ กลุ่มอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา ณ ช่วงเวลานั้น เพื่อวิเคราะห์ตลาดและบอกถึงสภาวะ Overbought หรือ Oversold ซึ่ง Momentum Indicator จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถประเมินความแข็งแกร่งและทิศทางของแนวโน้มราคาสินทรัพย์ปัจจุบัน รวมไปถึงจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตครับ

โดยกลุ่ม Momentum Indicator มีอินดิเคเตอร์อีกหนึ่งตัวในกลุ่มนี้ที่ชื่อเหมือนกัน คือ Momentum ซึ่งอินดิเคเตอร์ตัวนี้ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาล่าสุดเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า แม้ลักษณะของ Momentum จะคล้ายกับ RSI และ CCI ก็ตาม แต่วิธีอ่านค่าจะมีความแตกต่างกันครับ

สูตรการคำนวณ Momentum Indicator

Momentum Indicator สามารถคำนวณได้ด้วยสมการดังต่อไปนี้

Momentum = (ราคาปิดปัจจุบัน / ราคาปิด n วันก่อนหน้า) X 100

  • n คือ จำนวนวันที่เราต้องการย้อนหลังไป

 

Momentum Indicator บอกอะไรบ้าง ?

Momentum Indicator ใช้บอกแนวโน้มทิศทางราคา

Momentum Indicator ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์สภาวะ Overbought และ Oversold ณ ช่วงเวลานั้นได้ ซึ่งมีส่วนช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์แนวโน้มของทิศทางราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เช่นกันครับ ยกตัวอย่างเช่น หากตลาดเกิดสภาวะ Oversold ทำให้ตลาดเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาแทนที่แรงขาย ส่งผลให้ราคาเริ่มมีการปรับตัวสูงขึ้นตามแรงซื้อครับ 

Momentum Indicator ใช้บอกสัญญาณ Divergence

► สัญญาณ Divergence หมายถึง สัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มราคาสินทรัพย์ ซึ่ง Indicator ประเภท Momentum สามารถระบุสัญญาณ Divergence ให้เทรดเดอร์ทราบและเตรียมตัวหาจุดทำกำไรจากการเกิดสัญญาณได้ โดย Divergence สามารถที่จะแบ่งออกได้ 2 สัญญาณดังนี้ครับ

1. Bearish Divergence สัญญาณราคากลับตัวเป็นเทรนด์ขาลง

ในกรณีที่ราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวสูงขึ้น แต่ค่าจาก Momentum มีการปรับตัวในทิศทางที่สวนทางกัน ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ในอนาคตมีการเปลี่ยนทิศทางแนวโน้มเป็นเทรนด์ขาลงครับ

2. Bullish Divergence สัญญาณราคากลับตัวเป็นเทรนด์ขาขึ้น

ในกรณีที่ราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวลดลง แต่ค่าจาก Momentum มีการปรับตัวในทิศทางที่สูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่บอกถึงราคาสินทรัพย์ในอนาคตว่าอาจมีการเปลี่ยนทิศทางแนวโน้มเป็นเทรนด์ขาขึ้นครับ

 

Momentum Indicator ที่คนนิยมใช้มีอะไรบ้าง ?

Momentum Indicator ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเครื่องมือที่เทรดเดอร์นิยมใช้กันเป็นอย่างมาก เนื่องจากตลาด Forex มีความผันผวนของราคาสูง ส่งผลให้เกิดการแกว่งตัวของราคาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเทรดเดอร์สามารถอ่านค่าจากกลุ่ม Momentum Indicator เมื่อเกิดการผันผวนของราคาสินทรัพย์ได้ เพื่อเข้าทำกำไรในการเทรด โดยในบทความนี้ทาง Thaiforexreview ขอแนะนำ Momentum Indicator ยอดนิยมทั้ง 4 ตัวดังนี้ครับ

  1. Relative Strength Index : RSI
  2. Moving Average Convergence Divergence : MACD
  3. Commodity Channel Index : CCI
  4. Stochastics Oscillator

 

Momentum Indicator : Relative Strength Index (RSI) 

Relative Strength Index (RSI) เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคาสินทรัพย์เมื่อตลาดมีสภาวะการซื้อและการขายที่มากเกินไป (Overbought & Oversold) เพื่อใช้บอกสัญญาณแนวโน้มเทรนด์ของตลาดว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลง นอกจากนี้ยังช่วยให้เทรดเดอร์สามารถประเมินจุดซื้อจุดขายจากระดับการซื้อและขายของตลาด ณ ช่วงเวลานั้น โดยมีค่าตั้งแต่ 0-100 ครับ

สูตรการคำนวณ Relative Strength Index (RSI) 

RSI = 100 - [100 /(1 + RS)]

โดยที่ RS = ค่าเฉลี่ยราคาของวันที่ราคาปรับขึ้นในช่วง 'N' วัน / ค่าเฉลี่ยราคาของวันที่เป็นขาลง 'N' วัน

  • หาก RSI มีค่าต่ำกว่า 30 แสดงว่า สินทรัพย์นั้นเกิดภาวะขายมากเกินไปหรือ Oversold เทรดเดอร์อาจจะพิจารณาหาจุดเข้าออเดอร์ Buy
  • หาก RSI มีค่าสูงกว่า 70 แสดงว่า สินทรัพย์นั้นเกิดภาวะซื้อเกินไปหรือ Overbought เทรดเดอร์อาจจะพิจารณาหาจุดเข้าออเดอร์ Sell
Overbought ภาวะการซื้อที่มากเกินไป เมื่อตัวเลข RSI ขึ้นไปเหนือระดับ 70 จะถือว่าราคาเกิดภาวะ Overbought และอาจจะเกิดการกลับตัวลงไปได้
Oversold ภาวะการขายที่มากเกินไป เมื่อตัวเลข RSI ลงไปต่ำกว่าระดับ 30 จะถือว่าราคาเกิดภาวะ Oversold และอาจจะเกิดการกลับตัวขึ้นไปได้

 

ตัวอย่างการใช้ Relative Strength Index (RSI) กับการเทรด Forex 

ตัวอย่างการใช้ Relative Strength Index (RSI) กับการเทรด Forex 

จากรูปเทรดเดอร์จะเห็นได้ว่า กราฟของคู่สกุลเงิน EUR/USD เกิดสภาวะ Oversold ในช่วงราคา 1.08664 USD ซึ่งตีความได้ว่าราคาของคู่สกุลเงิน EUR/USD จะถูกลงในช่วงนี้เนื่องจากมีการเทขายเป็นจำนวนมาก เทรดเดอร์สามารถใช้จุดนี้ในการพิจารณาหาจุดเข้าออเดอร์ Buy ได้ หลังจากนั้นจะเห็นว่ากราฟมีการพุ่งขึ้นเป็น 1.14480 USD และเส้น RSI มีค่าเกิน 70 ซึ่งอยู่ในสภาวะ Overbought มีความหมายว่าราคาของคู่สกุลเงิน EUR/USD สูงขึ้นเนื่องจากมีการเข้าซื้อเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เทรดเดอร์สามารถใช้จุดนี้ในการหาจุดเข้าออเดอร์ Sell เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ครับ

 

Momentum Indicator : Moving Average Convergence Divergence (MACD)

Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นอินดิเคเตอร์ที่เอาไว้ดูแนวโน้มการแกว่งตัวของราคาว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด อีกทั้งยังบอกสัญญาณ Divergence เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์หาจุดเข้าออเดอร์ได้ครับ 

ส่วนประกอบของ Moving Average Convergence Divergence (MACD)

  1. MACD Line เป็นเส้นที่คำนวณจากเส้น EMA 12 วัน – EMA 26 วัน หรือเส้น EMA ระยะสั้นลบเส้น EMA ระยะยาว โดย MACD Line ใช้บอกทิศทางแนวโน้มของราคา
  2. Signal Line เป็นเส้นที่คำนวณจากเส้น EMA 9 วันของเส้น MACD Line โดย Signal Line ใช้บอกสัญญาณเพื่อหาจุดเข้าออเดอร์
  3. Histogram เป็นการแสดงผลต่างระหว่าง MACD Line กับ Signal Line โดย Histogram MACD ใช้บอกความแรงของปริมาณการซื้อขายละโมเมนตัมของแนวโน้ม

ตัวอย่างการใช้ Moving Average Convergence Divergence (MACD) กับการเทรด Forex

ตัวอย่างการใช้ MACD กับการเทรด Forex

MACD Line ตัดขึ้นไปอยู่เหนือ Signal Line แสดงว่าเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้นและเทรดเดอร์สามารถพิจารณาเปิดออเดอร์ Buy ได้

MACD Line ตัดลงไปอยู่ใต้ Signal Line แสดงว่าเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลงและเทรดเดอร์สามารถพิจารณาเปิดออเดอร์ Sell ได้

ซึ่งในส่วนของ Histogram หากว่า MACD Histogram อยู่ด้านบน จะเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้น และหากว่า MACD Histogram อยู่ด้านล่างจะเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลงครับ

 

Momentum Indicator : Commodity Channel Index (CCI)

Commodity Channel Index (CCI) เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้ในการวัดความแข็งแกร่งของราคาสินทรัพย์ในปัจจุบันเมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยในอดีต เพื่อใช้ระบุภาวะการซื้อมากเกินไป (Overbought) การขายมากเกินไป (Oversold) และช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดกลับตัวหรือแนวโน้มเทรนด์ราคาได้เช่นกันครับ

สูตรการคำนวณ Commodity Channel Index (CCI)

CCI : Typical Price – Moving Average / 0.015 x Mean Deviation

Typical Price = ΣPeriods (ราคาสูงสุด + ราคาต่ำสุด + ราคาปิด) / 3

Moving Average = ΣPeriods (Typical Price) / Periods

Mean Deviation = [ΣPeriods | Typical Price – MA |] / Periods 

ซึ่ง Periods หมายถึง จำนวนแท่งเทียน โดยส่วนใหญ่จะใช้ที่ย้อนหลัง 20 Periods

วิธีการอ่านค่า Commodity Channel Index (CCI)

วิธีการอ่านค่า Commodity Channel Index (CCI)

  • Commodity Channel Index (CCI) > +100 หมายถึง เกิดแรงซื้อในตลาดมากขึ้นส่งผลให้ราคาในปัจจุบันสูงกว่าค่าเฉลี่ยเดิม เรียกว่า สภาวะการซื้อเกิน (Overbought)  

  • Commodity Channel Index (CCI) < -100 หมายถึง เกิดแรงขายในตลาดมากขึ้นส่งผลให้ราคาในปัจจุบันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเดิม เรียกว่า สภาวะการขายเกิน (Oversold) 

ตัวอย่างการใช้ Commodity Channel Index (CCI) กับการเทรด Forex 

ตัวอย่างการใช้ Commodity Channel Index (CCI) กับการเทรด Forex 

จากภาพจะเห็นได้ว่าพื้นที่สีแดงมีค่า CCI อยู่ที่ -189.37 ซึ่งมีการเกิดสภาวะ Oversold จะเห็นได้ว่าราคาของคู่สกุลเงิน EUR/USD อยู่ที่ 1.0835 USD เทรดเดอร์อาจจะพิจารณาเตรียมเปิดออเดอร์ Buy เพื่อทำกำไรจากการกลับตัวขึ้นของราคา หรือหาจุดเข้าซื้อเพื่อให้ได้ราคาสินทรัพย์ที่เหมาะสมที่สุดครับ

 

Momentum Indicator : Stochastics Oscillator (STO)

Stochastics Oscillator (STO) เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ โดยคำนวณจากราคาปิด ณ ปัจจุบันกับช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุดจากช่วงเวลาที่กำหนดโดยแสดงผลออกมาเป็นตัวเลขตั้งแต่ 0-100 ซึ่ง Stochastics Oscillator สามารถระบุจุด Overbought และ Oversold ได้เช่นกันและยังช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดเปิดออเดอร์เพื่อทำกำไรในระยะสั้นได้อีกด้วย  

สูตรการคำนวณ Stochastics Oscillator (STO)

%K = [(ราคาปิดวันนี้ - ราคาต่ำสุดตามช่วงเวลาที่กำหนด) / (ราคาสูงสุด - ราคาต่ำสุดตามช่วงเวลาที่กำหนด)] X 100

วิธีการอ่านค่า Stochastics Oscillator (STO)

  • เมื่อ %K > 80 หมายถึง ราคาสินทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นจากแรงซื้อที่มากขึ้นจนเกิดสภาวะการซื้อมากเกินไป (Overbought)

  • เมื่อ %K < 20 หมายถึง ราคาสินทรัพย์ลดลงจากแรงขายที่มากขึ้นจนเกิดสภาวะการขายมากเกินไป (Oversold)

ตัวอย่างการใช้ Stochastics Oscillator (STO) กับการเทรด Forex

ตัวอย่างการใช้ Stochastics Oscillator (STO) กับการเทรด Forex

จากภาพเมื่อราคาของของคู่สกุลเงิน EUR/USD มีการเพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับแนวต้านของราคาคู่เงิน EUR/USD และเช่นเดียวกันกับกราฟเส้น Stochastics เกิดสภาวะ Overbought ขึ้น และมีการตัดกันระหว่างเส้น %K และ %D ซึ่งสามารถตีความได้ว่าเป็นสัญญาณการกลับตัว เพราะฉะนั้นเทรดเดอร์สามารถวางกลยุทธ์การเทรดด้วยการเปิดออเดอร์ Sell จากจุดดังกล่าว และรอสัญญาณจาก Stochastics เมื่อเกิดสภาวะ Oversold เพื่อปิดออเดอร์ทำกำไรในบริเวณดังกล่าว หรืออาจปิดออเดอร์ทำกำไรก่อนจุดตัดกันบริเวณ Oversold ก็ได้เช่นกันครับ

 

ข้อสังเกตเกี่ยวกับ Momentum Indicator

สำหรับการใช้ Momentum Indicator มีจุดสังเกตสำคัญทั้งหมด 2 จุด ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถปรับกลยุทธ์การเทรดเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ ดังนี้

  • เมื่อราคาเกิดภาวะ Overbought มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลง เทรดเดอร์ควรเปิดออเดอร์ Sell จึงจะได้เปรียบกว่า 
  • เมื่อราคาเกิดภาวะ Oversold มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้น เทรดเดอร์ควรเปิดออเดอร์ Buy จึงจะได้เปรียบกว่า 

 

ข้อควรระวังในการใช้ Momentum Indicator

อย่างที่เทรดเดอร์หลายท่านทราบกันดีว่า อินดิเคเตอร์เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการลงทุนของเทรดเดอร์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เครื่องมือที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้ 100% เสมอไป การใช้งาน Momentum Indicator ก็อาจเกิดสัญญาณหลอกหรือสัญญาณล่าช้าได้เช่นกัน ดังนั้นแล้ว เทรดเดอร์ควรที่จะใช้เครื่องมือหรืออินดิเคเตอร์ชนิดอื่นควบคู่กับอินดิเคเตอร์ประเภท Momentum เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดสัญญาณหลอกและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากเทรดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นครับ

 

Momentum Trading การเทรดด้วยโมเมนตัม คืออะไร?

Momentum Trading หรือการเทรดโมเมนตัม คือ การเทรดที่ใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาล่าสุด ซึ่งจะช่วยระบุความแข็งแกร่งของสัญญาณที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อย่าง Upside หรือ Downside โดยคุณสมบัติของการเทรดลักษณะนี้ จะใช้ดูความถี่ของปริมาณการซื้อขายในตลาด เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเห็นถึงช่องว่างของราคาที่มีความผันผวนนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเก็งกำไรให้มากที่สุดนั่นเอง

สำหรับจุดสังเกตการบ่งบอกของสัญญาณโมเมนตัมสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 สัญญาณ ได้แก่

  • หากราคามีการเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็ว สัญญาณโมเมนตัมจะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
  • หากราคามีการเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างช้า ๆ สัญญาณโมเมนตัมจะลดลง

 

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Momentum Trading มีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Momentum Trading สามารถแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัย ได้แก่

1. ความผันผวน (Volatility)

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Momentum Trading ปัจจัยแรก คือ ความผันผวน เพราะเมื่อตลาดมีความผันผวนสูง การแกว่งตัวของราคาก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย ซึ่งเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์การเทรดด้วยโมเมนตัมจะใช้ช่องว่างจากความผันผวนนี้ เพื่อเข้าทำกำไรในระยะสั้นนั่นเองครับ

2. ปริมาณการซื้อขาย (Volume)

มาต่อกันที่ปัจจัยที่ 2 คือ ปริมาณการซื้อขาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เห็นว่า ในเวลานั้น ๆ ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้อหรือขายมากกว่า และเมื่อฝั่งใดฝั่งหนึ่งมีของปริมาณซื้อขายที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็จะเพิ่มโอกาสให้เกิดแนวโน้ม (Trend) ในตลาดที่ต่อเนื่องตามไปด้วย 

3. กรอบเวลา (Time Frame)

มาต่อกันที่ปัจจัยสุดท้าย คือ กรอบเวลา โดย Momentum Trading จะอาศัยการเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้น ซึ่งการเคลื่อนไหวของราคาจะขึ้นอยู่กับแนวโน้มว่า ปริมาณการซื้อขายมีมากน้อยแค่ไหน ส่วนใหญ่เทรดเดอร์ Day Trade จะชื่นชอบการเข้าทำกำไรในกรอบเวลาสั้น ๆ นี้เป็นอย่างมาก

 

Momentum Trading มีกี่ประเภท?

ประเภทของ Momentum Trading มี 2 ประเภท ได้แก่

  • Absolute Momentum จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเปรียบเทียบพฤติกรรมของราคาคู่เงินในปัจจุบันกับพฤติกรรมของราคาคู่เงินเดียวกันย้อนหลังในช่วงเวลาที่กำหนดได้อย่างแม่นยำ เพื่อดูแนวโน้มการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์นั้นๆ
  • Relative Momentum จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเปรียบเทียบพฤติกรรมและประสิทธิภาพของคู่เงินหลายๆ คู่ในช่วงเวลาเดียวกันได้ เพื่อเลือกคู่เงินที่มีแรงโมเมนตัมแกว่งตัวที่แข็งแกร่งที่สุด

 

การนำกลยุทธ์ Momentum Trading มาใช้ในการเทรด

เทรดเดอร์สามารถใช้กลยุทธ์โมเมนตัมเข้ามาช่วยในการเทรดได้ 2 วิธีหลัก ๆ คือ

  1. วิเคราะห์จากแนวโน้มของราคาที่มีความผันผวน
  2. อาศัยรูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Pattern) เพื่อเป็นตัวชี้วัดสำคัญ

อย่างไรก็ตาม การใช้แท่งเทียนเข้ามาช่วยวิเคราะห์อาจไม่สามารถการันตีโมเมนตัมของราคาได้ 100% ทำให้เทรดเดอร์ต้องอาศัยการดู Time Frame ในระยะสั้น ๆ ประกอบการตัดสินในการเปิดปิดออเดอร์

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Momentum Indicator

การใช้ Momentum Indicator ในการเทรดโมเมนตัมมีอินดิเคเตอร์ยอดนิยมตัวไหนบ้าง?

Momentum Indicator ยอดนิยมสามารถแบ่งออกเป็น 4 ตัว ได้แก่ RSI, MACD, CCI และ Stochastics Oscillator

Chande Momentum Oscillator (CMO) คืออะไร ?

 Chande Momentum Oscillator (CMO) คือ อินดิเคเตอร์ประเภทโมเมนตัมที่ใช้ในการวัดสภาวะ Overbought และ Oversold พัฒนาโดย Tushar Chande ในปี 1994 ซึ่ง Chande Momentum Oscillator (CMO) ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดเข้าซื้อและจุดขายได้ง่ายขึ้น โดยมีค่าตั้งแต่ -100 ถึง 100 ครับ

Momentum Effect คืออะไร ?

Momentum Effect คือ การที่ราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนที่ไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนมักใช้ประโยชน์จากโมเมนตัมในการซื้อขายระยะสั้นที่มุ่งหวังจะทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นครับ

บทความที่เกี่ยวข้องกับ Momentum Indicator เพิ่มเติม

 

สรุปเกี่ยวกับ Momentum Indicator 

จะเห็นได้ว่า Momentum Indicator ถือเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์ที่ใช้งานง่าย ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าใจสภาพตลาดและแนวโน้มราคาสินทรัพย์ได้อย่างละเอียดและแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน บริหารความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้แก่เทรดเดอร์ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ อินดิเคเตอร์ต่าง ๆ เป็นเพียงตัวช่วยในการลงทุน ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ราคาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรใช้อินดิเคเตอร์ต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการจัดการความเสี่ยงในการลงทุนด้วยครับ

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ควรรู้ก็คือ การศึกษาตลาดและกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตนเองก่อน เพราะการเทรดโดยการไม่มีความรู้ หรือการเทรดบนสัญญาณหลอกอาจทำให้เทรดเดอร์ขาดทุนมากกว่าได้กำไร ดังนั้น เทรดเดอร์ควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งครับ

 


 

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

 

หากคุณมีความสนใจในเรื่องของการลงทุนเหมือนกันกับผม

สามารถติดตามความรู้เกี่ยวกับ Forex ได้ทางเว็บไซต์ www.thaiforexreview.com

ติดตามความเคลื่อนไหวและการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Thaiforexreview

ติดตามข่าวสารการลงทุนและบทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์ได้ที่ Forex Analysis

อ่านบทความสาระดี ๆ ได้ที่ Blogs

อ่านรีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยมได้ที่ Top Brokers

forex

แนะนำโบรกเกอร์สำหรับคุณ

tfn
ข้อจำกัดด้านความปลอดภัย

Thaiforexreview.com จะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใด ๆ
ที่เกิดจากการพึ่งพาข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้ รวมถึงข่าวการตลาด การวิเคราะห์ สัญญาณการซื้อขาย และบทวิจารณ์โบรกเกอร์ Forex ข้อมูลที่อยู่ในเว็บไซต์นี้อาจไม่เป็นปัจจุบัน และการวิเคราะห์เป็นความคิดเห็น ของ Thaiforexreview.com ไม่มีการการันตีใด ๆ

การซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex มีความเสี่ยงสูง ก่อนตัดสินใจซื้อขาย Forex หรือใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ควรพิจารณาวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เรามุ่งเน้นเพื่อเสนอข้อมูล ที่สำคัญเกี่ยวกับโบรกเกอร์ทั้งหมดที่เราตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด

ความรู้ Forex

Forex

Gold

Beginner

Investing

ข้อจำกัดด้านความปลอดภัย

Thaiforexreview.com จะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใด ๆ
ที่เกิดจากการพึ่งพาข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้ รวมถึงข่าวการตลาด การวิเคราะห์ สัญญาณการซื้อขาย และบทวิจารณ์โบรกเกอร์ Forex ข้อมูลที่อยู่ในเว็บไซต์นี้อาจไม่เป็นปัจจุบัน และการวิเคราะห์เป็นความคิดเห็น ของ Thaiforexreview.com ไม่มีการการันตีใด ๆ

การซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex มีความเสี่ยงสูง ก่อนตัดสินใจซื้อขาย Forex หรือใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ควรพิจารณาวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เรามุ่งเน้นเพื่อเสนอข้อมูล ที่สำคัญเกี่ยวกับโบรกเกอร์ทั้งหมดที่เราตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด

© Copyright Thaiforexreview 2023. All rights reserved