Moving Average คืออะไร? อินดิเคเตอร์ที่มือใหม่ควรรู้

การเทรด Forex เป็นการลงทุนที่ต้องมีการวิเคราะห์ทางเทคนิคอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเป็นการลงทุนเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น ดังนั้น อินดิเคเตอร์ คือหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของการวิเคราะห์ ที่จะช่วยให้การเทรดมีโอกาสชนะมากขึ้น ถ้าหากสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้อง วันนี้ Thaiforexreview จะพาทุกคนมารู้จักกับอินดิเคเตอร์ Moving Average (MA) ที่จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถดูแนวโน้ม และแนวรับ-แนวต้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Moving Average (MA) คือ อินดิเคเตอร์ที่ใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์หาแนวโน้มของราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ในตลาดการเงิน นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็นแนวรับ-แนวต้าน ของราคาได้เช่นกัน จากการนำข้อมูลย้อนหลังมาคำนวณและแปลงมาเป็นในรูปแบบของ “เส้นค่าเฉลี่ย” นั่นเองครับ
- ใช้ MA เพื่อดูแนวโน้มราคาหรือเทรนด์ที่เกิดขึ้น
- ใช้ MA เป็นแนวรับหรือแนวต้าน
- ใช้ MA เพื่อหาจุดเข้าซื้อหรือขาย
อย่างไรก็ตาม Moving Average สามารถใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ตัวอื่น หรือเทคนิคการเทรดทั่วไปในตลาด Forex เพิ่มเติมได้ เช่น Price Pattern และ Price Action ซึ่งจะช่วยให้การคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตมีความแม่นยำสูงมากขึ้นครับ
เนื่องจาก Moving Average คือ การนำค่าเฉลี่ยราคาปิดย้อนหลังในหลาย ๆ วันมาคำนวณสำหรับวิเคราะห์แนวโน้มและยืนยันทิศทางที่เกิดขึ้นแล้ว จากนั้นผลลัพธ์จะถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบของกราฟเส้น เพื่อพิจารณาควบคู่ไปกับกราฟแท่งเทียนของราคา โดยมีตัวอย่างการคำนวณ ดังนี้
สูตรของ Moving Average = A1+A2+A3+A4+A5…+An / n
A = ราคาสินทรัพย์ตามช่วงเวลา
ค่า n = จำนวนช่วงเวลา (Periods)
วันที่ (n) | ราคาปิด (An) |
1 | 15.00 (A1) |
2 | 14.30 (A2) |
3 | 13.12 (A3) |
4 | 16.70 (A4) |
5 | 18.20 (A5) |
แปลงเป็นสูตร MA = (15.00+14.30+13.12+16.70+18.20) / 5
จากตารางสามารถสรุปได้ว่า ค่า Moving Average ที่เราจะได้เท่ากับ 15.46 นั่นเอง
Moving Average ที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์มีอยู่หลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีการคำนวณที่แตกต่างกันออกไป โดยในวันนี้เราจะนำเสนอเส้น MA 2 ประเภท ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มเทรดเดอร์ นั่นคือ EMA และ SMA โดยมีรายละเอียดดังนี้
-
EMA (Exponential Moving Average)
เส้น EMA ย่อมาจาก Exponential Moving Average คือ การคำนวณในรูปแบบของการให้ความสำคัญไปที่ “ค่าสุดท้าย” มากที่สุด ซึ่งจะทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนของราคาเร็วที่สุดในบรรดา Moving Average แต่สามารถทำให้เกิดสัญญาณหลอกได้ง่าย
-
SMA (Simple Moving Average)
เส้น SMA ย่อมาจาก Simple Moving Average คือ การคำนวณด้วยข้อมูลย้อนหลัง โดยที่จะให้ความสำคัญที่ “เท่า ๆ กันทุกค่า” ซึ่งจะส่งผลให้มีการเคลื่อนที่ตามราคาได้ช้ากว่า EMA ที่จะให้ความสำคัญไปที่ค่าสุดท้าย แต่ SMA จะเกิดสัญญาณหลอกได้ยากกว่า EMA
-
WMA (Weighted Moving Average)
เส้น WMA ย่อมาจาก Weight Moving Average เป็นการให้ค่าน้ำหนักกับข้อมูล "ในแต่ละช่วงเวลาโดยเฉพาะ" ซึ่งเส้น WMA นั้น ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดจุดอ่อนของ SMA ที่มีการเคลื่อนไหวที่ช้า และห่างจากราคาปัจจุบันไปมาก ซึ่งการที่ WMA เน้นน้ำหนักความสำคัญไปที่ค่าสุดท้าย ทำให้เส้นค่าเฉลี่ยตอบสนองกับราคาที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
อินดิเคเตอร์ Moving Average มีให้บริการในแพลตฟอร์มการเทรดทั้ง MetaTrader และ TradingView ซึ่งมีวิธีการตั้งค่า ดังนี้
วิธีการตั้งค่า Moving Average ใน TradingView
- ทำการเพิ่ม Moving Average เข้ามาในกราฟ โดยการคลิกที่คำว่า "อินดิเคเตอร์" ในแถบเมนูข้างบน
- ทำการดับเบิลคลิกที่เส้น Moving Average และคลิกที่แถบ "ข้อมูล"
- ทำการตั้งค่าตามที่ต้องการและทำการคลิก "ตกลง"
วิธีการตั้งค่า Moving Average ใน MT4 และ MT5
- ทำการเพิ่ม Moving Average เข้ามาในกราฟ โดยการคลิกที่คำว่า "อินดิเคเตอร์" ในแถบเมนูข้างซ้าย และคลิกที่โฟลเดอร์ "Trend" จากนั้นเลือก "Moving Average"
- ทำการดับเบิลคลิกที่เส้น Moving Average และคลิกที่แถบ "พารามิเตอร์"
- ทำการตั้งค่าตามที่ต้องการและทำการคลิก "ตกลง"
สำหรับค่าของ Moving Average ที่นิยมใช้จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ตามประเภทการเทรด ดังนี้
-
การตั้งค่า Moving Average สำหรับการเทรดระยะสั้น
สำหรับการตั้งค่า Moving Average ในการเทรดระยะสั้น ส่วนมากจะนิยมใช้อยู่ที่ตั้งแต่ 9-25 เนื่องจากว่าในระยะนี้จะให้สัญญาณการซื้อขายที่เร็ว และใช้เพื่อเก็งกำไรเพียงไม่กี่ pips ซึ่งจะเหมาะกับกรอบเวลา (Time Frame) ตั้งแต่ 15M ลงมา แต่ข้อเสีย คือ มีความผันผวนที่สูงมาก และอาจจะเกิดสัญญาณหลอกได้ โดยจะเหมาะกับเทรดเดอร์สาย Scalping หรือ Day Trade
-
การตั้งค่า Moving Average สำหรับการเทรดระยะกลาง
สำหรับการตั้งค่า Moving Average ในการเทรดระยะกลาง ส่วนมากจะนิยมใช้ตั้งแต่ระยะ 30-75 เนื่องจากว่าในระยะนี้จะให้สัญญาณการซื้อขายที่ช้าลง โดยสัญญาณหลอก และความผันผวนก็จะน้อยลงตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเหมาะกับการเทรดในกรอบเวลา (Time Frame) ตั้งแต่ 30M-4H เหมาะกับเทรดเดอร์สายรันเทรนด์ หรือ Trend Following ที่มักจะถือออเดอร์ไม่เกิน 1 สัปดาห์
-
การตั้งค่า Moving Average สำหรับการเทรดระยะยาว
สำหรับการตั้งค่า Moving Average ในการเทรดระยะยาว ส่วนมากจะนิยมใช้ตั้งแต่ระยะ 100-200 เนื่องจากว่าเป็นระยะที่ให้สัญญาณซื้อขายช้าที่สุด โดยเหมาะกับกรอบเวลา (Time Frame) ตั้งแต่ 4H ขึ้นไป และเหมาะสำหรับเทรดเดอร์สาย Swing Trade หรือคนที่ชอบถือออเดอร์ยาวเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน
อย่างที่เราได้กล่าวไปข้างต้นว่า Moving Average สามารถใช้ดูแนวโน้ม, หาจุดเข้าซื้อหรือขาย และใช้เป็นแนวรับหรือแนวต้านจากเส้น SMA หรือ EMA ได้ ในหัวข้อนี้ เราจะอธิบายอย่างละเอียดว่า การใช้ Moving Average เพื่อวิเคราะห์กราฟราคา ต้องดูจากอะไร และมีเทคนิคอย่างไรบ้าง โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 วิธีหลัก ๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. การใช้ Moving Average ดูแนวโน้ม
การดูแนวโน้มจาก MA เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด โดยเทรดเดอร์สามารถเลือกใช้เส้น EMA หรือ SMA ได้ตามความถนัดและตามกลยุทธ์ของแต่ละบุคคล ดังนี้
-
สัญญาณแนวโน้มขาขึ้นจาก Moving Average
- ราคาอยู่เหนือเส้น MA
- บ่งบอกว่า มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ต่อไป
-
สัญญาณแนวโน้มขาลงจาก Moving Average
- ราคาอยู่ใต้เส้น MA
- บ่งบอกว่า มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend) ต่อไป
ตัวอย่างการใช้ Moving Average ในการดูแนวโน้ม
2. การใช้ Moving Average ดูแนวโน้มและสัญญาณซื้อขายจาก Crossover
การ Crossover ของเส้น MA 2 เส้น เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการคาดการณ์แนวโน้มได้ค่อนข้างดี ซึ่งโดยทั่วไปเทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะนิยมใช้เส้น MA ชนิดเดียวกันทั้งสองเส้น แต่การใช้ทั้งเส้น EMA และเส้น SMA เพื่อดูการ Crossover ก็ไม่ใช่เรื่องผิด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และความถนัดของแต่ละบุคคลครับ
การดูแนวโน้มจาก Crossover ของเส้น MA จะต้องให้ความสำคัญกับการกำหนด Period ของแต่ละเส้น โดยต้องทำการตั้งค่าให้ทั้ง 2 เส้น มีเส้น Period ที่ต่ำและเส้น Period ที่สูง เนื่องจากมีการตีความหมายของแนวโน้มที่แตกต่างกันออกไป และนำไปสู่สัญญาณเข้าซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้
-
สัญญาณแนวโน้มขาขึ้นจาก Moving Average
-
- เส้น Period ต่ำตัด Peiord สูงขึ้นไป
- บ่งบอกว่า มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)
- การเปิดออเดอร์ Buy จะได้เปรียบ
-
สัญญาณแนวโน้มขาลงจาก Moving Average
-
- เส้น Period ต่ำตัด Peiord สูงลงมา
- บ่งบอกว่า มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend)
- การเปิดออเดอร์ Sell จะได้เปรียบ
ตัวอย่างการใช้ Moving Average ดูแนวโน้มและสัญญาณซื้อขายจาก Crossover
3. การใช้ Moving Average เป็นแนวรับและแนวต้าน
ความสามารถของอินดิเคเตอร์ Moving Average ที่โดดเด่นจากอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ คือ เทรดเดอร์สามารถนำเส้น MA มากลายร่างเป็นแนวรับและแนวต้านที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ ซึ่งแนวรับและแนวต้านเป็นการวิเคราะห์กราฟขั้นพื้นฐาน แต่การใช้เส้น MA เป็นแนวรับและแนวต้านจะช่วยให้เทรดเดอร์วิเคราะห์ได้ง่าย และแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยทั่วไปแล้วเทรดเดอร์นิยมเลือกใช้เส้น MA เพียงเส้นเดียวเท่านั้น แต่เทรดเดอร์สามารถเลือกได้ว่าจะใช้เส้น EMA หรือ SMA ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และความถนัดของแต่ละบุคคล
-
สัญญาณแนวโน้มขาขึ้นจาก Moving Average
-
- ราคาทะลุเส้น MA ขึ้นไป
- บ่งบอกว่า มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)
- การเปิดออเดอร์ Buy จะได้เปรียบ
-
สัญญาณแนวโน้มขาลงจาก Moving Average
- ราคาทะลุเส้น MA ลงมา
- บ่งบอกว่า มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend)
- การเปิดออเดอร์ Sell จะได้เปรียบ
ตัวอย่างการใช้ Moving Average เป็นแนวรับและแนวต้าน
หลังจากที่เราทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐานของ Moving Average ไปแล้ว ทีนี้เราจะพามาเข้าสู่หลักสูตร “กลยุทธ์การเทรดด้วย Moving Average” กันครับ อย่างที่ทราบกันดีว่า Moving Average เป็นอินดิเคเตอร์สำหรับใช้ในการดูแนวโน้ม, แนวรับ-แนวต้าน, จุดกลับตัว และจุด Break out โดยทุกอย่างที่กล่าวไปนั้น สามารถที่จะผนวกรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นกลยุทธ์การเทรด (Trade Setup) ได้เลย
โดยสามารถแยกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบ Continue (ไปต่อ) และรูปแบบ Reversal (กลับตัว) ซึ่งจะแยกได้จากการสังเกตการเกิดสัญญาณ Break Out และการ เกิดการกลับตัวนั่นเองครับ
ตัวอย่างกลยุทธ์การเทรดด้วย Moving Average
จากในภาพตัวอย่าง จะสังเกตได้ว่า กราฟอยู่ในแนวโน้มขาลงในช่วงก่อนหน้า และมีการกลับตัวขึ้นในช่วงหลัง โดยทีมงานจะพาเทรดเดอร์ทุกคนมาฝึกวิเคราะห์และสังเกตสัญญาณในกราฟกันครับ โดยสามารถแบ่งส่วนประกอบของสัญญาณออกได้เป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่
หากดูตามภาพประกอบ จะมี 3 สัญญาณสำคัญ ดังนี้ครับ
1. สัญญาณแรก : เส้น MA ตัดกัน
- สังเกตเส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้น (ในตัวอย่างคือเส้น 9 วันกับ 21 วัน) เมื่อเส้นเร็วตัดเส้นช้าขึ้นไป เป็นสัญญาณแรกที่บอกว่า แรงซื้อเริ่มกลับมาแล้ว และราคามีโอกาสจะขึ้นไปต่อ
2. สัญญาณที่สอง : ทะลุแนวต้านสำคัญ
- แนวต้าน ก็เหมือน "เพดาน" ที่ราคาเคยขึ้นไปชนแล้วไม่ผ่าน พอราคามีแรงพุ่งขึ้นไปจน "ทะลุเพดาน (Breakout)" นี้ไปได้ ก็เป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแรงมากและพร้อมที่จะไปต่อนั่นเองครับ
3. สัญญาณสุดท้าย : กลับลงมาทดสอบ (Re-Test)
- หลังจากทะลุเพดานขึ้นไปแล้ว ราคาอาจจะย่อตัวกลับลงมาที่ "เพดานเก่า" อีกครั้ง ซึ่งตอนนี้ได้เปลี่ยนหน้าที่เป็น "พื้นใหม่" ไปแล้ว การที่ราคากลับมาทดสอบแล้วไม่สามารถหลุดลงไปต่ำกว่าพื้นใหม่ได้ เป็นการยืนยันว่า พื้นตรงนี้แข็งแรงจริง พร้อมจะไปต่อแล้ว
ตัวอย่างการเทรดด้วย Moving Average กับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ
จากตัวอย่าง มีการนำเอาอินดิเคเตอร์อย่าง RSI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ร่วมด้วย โดยอินดิเคเตอร์ RSI จะให้ข้อมูลในส่วนของการแกว่งตัวของราคา และบอกภาวะการซื้อที่มากเกินไป (Overbought) หรือบ่งบอกถึงภาวะการขายที่มากเกินไป (Oversold) ได้ครับ นอกจากนี้ ยังสามารถให้สัญญาณการกลับตัวอย่าง Divergence ได้อีกด้วย ถือว่าเป็นอินดิเคเตอร์ที่ทางทีมงาน Thaiforexreview แนะนำให้ใช้ควบคู่กับ Moving Average ครับ
มาดูวิธีการใช้วิเคราะห์หาจุดเข้าร่วมกันของทั้ง 2 อินดิเคเตอร์กันเลยครับ
1. สัญญาณเตือนการกลับตัวลงล่วงหน้า (Bearish Divergence จาก RSI)
ปกติแล้ว ถ้าราคาสินทรัพย์สูงขึ้น กราฟ RSI (ที่บอกแรงซื้อ-ขาย) ก็ควรจะสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ ราคายังทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ RSI กลับทำยอดต่ำลง นี่คือสัญญาณเตือนสำคัญที่กำลังบ่งบอกว่า แรงซื้อกำลังจะหมดลงแล้ว และแรงขายอาจจะกำลังเข้ามาแทนได้ ราคาเกิดสัญญาณการกลับตัว Divergence ในบริเวณแนวต้านสำคัญ และเกิดในช่วงที่เป็นภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought)
2. สัญญาณยืนยันการกลับตัว
หลังจากมีสัญญาณเตือน ราคาเริ่มร่วงลงมา "ทะลุแนวรับ" อย่างรุนแรง (แท่งเทียนสีแดงยาว ๆ) จากนั้น ราคาอาจจะเด้งกลับขึ้นไปทดสอบ "แนวรับที่ตอนนี้กลายเป็นแนวต้าน" และจังหวะนี้เองที่เส้นเร็วจะตัดเส้นช้าลงมา เป็นการตอกย้ำว่า ราคากำลังจะหมดรอบแนวโน้มขาขึ้น และเตรียมเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลงนั่นเองครับ
ปิดทำกำไรตอนไหนดีที่สุด?
ในตลาด Forex ไม่ได้มีจุดในการปิดทำกำไรที่ดีที่สุด เนื่องจากมุมมองที่มีต่อกราฟราคาของเทรดเดอร์แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน จึงทำให้จุดที่ดีที่สุดของแต่ละคนนั้น แตกต่างกันออกไป แต่แนวทางในการปิดทำกำไรที่ดีที่สุด คือ รอให้ราคาเด้งกลับขึ้นไปทดสอบเพดานใหม่นั้นอีกครั้ง แล้วไปต่อไม่ไหว เมื่อเห็นว่าราคาเริ่มอ่อนแรงที่บริเวณนั้น ก็สามารถตัดสินใจปิดออเดอร์ได้เลยครับ เพราะมีโอกาสสูงที่ราคาจะร่วงลงต่อจากจุดนั้น
การเทรด Forex ยังมีกลยุทธ์การเทรดและอินดิเคเตอร์ให้ใช้อีกมากมาย หากต้องการศึกษาเทคนิคการเทรดและอินดิเคเตอร์อื่น ๆ เพิ่มเติม สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
การเทรดด้วย Moving Average เราจะสังเกตได้ว่าเป็นเทคนิคที่เน้นไปที่การหาจุดกลับตัว และการ Breakout เป็นหลัก ซึ่งในการเทรดจริงอาจไม่ได้ง่ายอย่างในกรณีตัวอย่างทุกรอบ และอาจจะมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เทรดเดอร์ต้องสับสน เช่น False Breakout หรือการเบรกหลอก เป็นต้น
ตัวอย่างการเกิด False Breakout หรือการเบรกหลอก
มาทำความเข้าใจ "False Breakout" หรือ "สัญญาณหลอก" จากภาพนี้กันแบบง่าย ๆ นะครับ ลองนึกภาพว่าเส้นสีเหลือง คือ "เพดาน" ที่แข็งแก่รง ราคาพยายามจะขึ้นไปชนเพดานนี้หลายครั้งแต่ก็ไม่ผ่านสักที
เกิดอะไรขึ้นในภาพ?
-
ความพยายามที่จะทะลุเพดาน : ดูที่แท่งเทียนยาว ๆ ที่มีลูกศรสีเหลืองชี้ลงมานะครับ แท่งนี้แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อเยอะมาก ดันราคา "พุ่งทะลุเพดาน" ขึ้นไปได้อย่างสวยงาม ณ จุดนี้ นักเทรดหลายคนอาจจะรีบเข้าซื้อ (Buy) เพราะคิดว่าราคากำลังจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้นแล้วจริง ๆ
-
ดูเหมือนจะขึ้นไปต่อ แต่หมดแรงตอนท้าย : หลังจากราคาทะลุขึ้นไปได้ไม่นาน ปรากฏว่า แรงซื้อกลับหมดลง และมีแรงขายสวนลงมาอย่างรวดเร็ว ทำให้สุดท้ายแล้ว เมื่อจบชั่วโมง ราคาของแท่งเทียนแท่งนั้นก็ "ปิดต่ำกว่าเพดาน" ที่ทะลุขึ้นไปก่อนหน้า
-
ผลลัพธ์ : การที่ราคาทะลุขึ้นไปได้แค่ชั่วคราวแล้วกลับลงมาที่เดิมอย่างรวดเร็ว แบบนี้เรียกว่า "False Breakout" หรือการเบรกหลอก เป็นเหมือนกับดักที่หลอกให้คนเข้ามาซื้อ แล้วปรับตัวลงมาอย่างรวดเร็วนั่นเองครับ
สรุปให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่า False Breakout ก็เหมือนกับการที่เราออกแรงผลักประตูและคิดว่า เปิดได้แล้ว แต่สุดท้ายประตูเด้งกลับมาปิดใส่หน้าอย่างแรง คนที่รีบวิ่งเข้าไปก็เลยติดอยู่อีกฝั่งนั่นเองครับ
ในโลกของการเทรด นี่คือหนึ่งในกับดักที่เจอบ่อยที่สุด การสังเกตแท่งเทียนที่ทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นไป แต่ไม่สามารถปิดราคาเหนือแนวต้านนั้นได้ ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ดีว่า อาจจะเป็นแค่สัญญาณหลอกครับ
วิธีการหลีกเลี่ยงนกับดักนี้ คือ ให้ทำการตีกรอบการเคลื่อนที่ของราคา เพื่อให้เทรดเดอร์สามารถเห็นกรอบการเคลื่อนที่ได้อย่างชัดเจน ในรูปตัวอย่าง ถ้าสังเกตดูดี ๆ เทรดเดอร์จะเห็นว่า กราฟดีดตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แต่ที่กราฟร่วงกลับลงมาก็เพราะว่า ราคาติดกรอบแนวต้านที่อยู่ข้างบน และเป็นกรอบการเคลื่อนที่ของราคาอยู่แล้ว การตีกรอบให้กับการเคลื่อนที่ของราคา จึงเป็นวิธีป้องกันไม่ให้เจอสัญญาณหลอกได้ง่าย ๆ นั่นเองครับ
บทความที่เกี่ยวข้องกับ Moving Average
EMA คืออะไร ?
EMA ย่อมาจาก Exponential Moving Average เป็นเส้นค่าเฉลี่ยที่มีการหาค่าแบบ Exponential ซึ่งจะให้ความสำคัญกับราคาสุดท้ายมากที่สุด ดังนั้น เส้นค่าเฉลี่ยแบบ EMA จึงเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาไวกว่าการคำนวณแบบธรรมดา (Simple Moving Average: SMA)
Moving Average มีสูตรคำนวณอย่างไร ?
Moving Average มีสูตรการคำนวณ คือ การนำค่าเฉลี่ยราคาปิดย้อนหลังในหลาย ๆ วันมาคำนวณสำหรับวิเคราะห์แนวโน้มและยืนยันทิศทางที่เกิดขึ้นแล้ว จากนั้นผลลัพธ์จะถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบของกราฟเส้น
ตั้งค่า Moving Average Forex อย่างไร ?
การตั้งค่า Moving Average ใน MT4/MT5 นั้น สามารถทำได้ตามขั้นตอน ดังนี้
- ไปที่แถบเครื่องมือ Navigator ที่อยู่ทางซ้ายมือ
- เลื่อนหาคำว่า "Indicator" และดับเบิลคลิกที่คำว่า "Indicator"
- หาคำว่า "Trend"
- ดับเบิลคลิกที่คำว่า "Moving Average"
- จากนั้นจะมีหน้าต่างการตั้งค่า Moving Average ขึ้นมา ทำการคลิกคำว่า "OK" เพื่อใช้อินดิเคเตอร์
เท่านี้ก็จะได้อินดิเคเตอร์ Moving Average มาใช้งานแล้ว โดยเทรดเดอร์สามารถกลับเข้าไปตั้งค่า Moving Average ได้จากการดับเบิลคลิกที่เส้น Moving Average และหน้าต่างตั้งค่าก็จะปรากฏขึ้นมา เมื่อทำการตั้งค่าเสร็จเรียบร้อยให้คลิกที่คำว่า "OK" อีกครั้ง
Moving Average คือ อินดิเคเตอร์พื้นฐานที่เทรดเดอร์ทั่วโลกนิยมใช้กัน โดยจะใช้ค่าเฉลี่ยราคาปิดย้อนหลังมาคำนวณ และแสดงผลออกมาในรูปแบบของกราฟเส้น เพื่อใช้พิจารณาประกอบกับกราฟแท่งเทียน อีกทั้ง การใช้ Moving Average ยังเป็นพื้นฐานในการต่อยอดไปยังการใช้อินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ ที่มีความยากขึ้น โดยเส้น MA สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ EMA และ SMA ซึ่ง EMA จะให้สัญญาณที่เร็วกว่า SMA แต่ก็สามารถเกิดสัญญาณหลอกได้ง่ายกว่าเช่นกัน ดังนั้น คุณควรใช้อินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อช่วยให้การยืนยันสัญญาณมีความแม่นยำมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องมือเพียงตัวเดียวเพื่อหาสัญญาณเข้าซื้อขาย อาจจะยังไม่ใช่แผนที่ดีที่สุด เนื่องจากตลาด Forex เป็นตลาดที่มีความผันผวนสูง และคาดเดาได้ยาก ดังนั้น การใช้ Moving Average ควบคู่กับอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ หรือการใช้ Moving Average ประกอบกับเทคนิคการวิเคราะห์ เช่น Chart Pattern และ Price Action ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดให้ดีมากยิ่งขึ้น
การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดี ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
Source : Traderbobo และ Fxtoday
หากเทรดเดอร์มีความสนใจในเรื่องของการลงทุนเหมือนกันกับผม
สามารถติดตามความรู้เกี่ยวกับ Forex ได้ทางเว็บไซต์ www.thaiforexreview.com
ติดตามความเคลื่อนไหวและการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Thaiforexreview
ติดตามข่าวสารการลงทุนและบทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์ได้ที่ Forex Analysis
อ่านบทความสาระดี ๆ ได้ที่ Blogs
อ่านรีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยมได้ที่ Top Brokers
แนะนำโบรกเกอร์สำหรับคุณ
