Elliott Wave คืออะไร? เปิดคัมภีร์นับคลื่น Forex แบบเซียน

สำหรับเทรดเดอร์ในตลาด Forex การคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต คือ หัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ มีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคมากมายที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป้าหมายนี้ และหนึ่งในทฤษฎีที่ทรงพลังและได้รับการยอมรับในระดับสากลก็คือ ทฤษฎี Elliott Wave (อีเลียตเวฟ) ซึ่่งหลายคนอาจเคยได้ยินชื่อหรือเห็นการนับเลขบนกราฟแล้วสงสัยว่า Elliott Wave คืออะไร? บทความนี้จาก Thaiforexreview จะพาคุณไปทำความเข้าใจทฤษฎีนี้แบบเจาะลึก ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน โครงสร้างของคลื่น ไปจนถึงการนำไปสร้างกลยุทธ์ Elliott Wave เพื่อทำกำไรจริงในตลาด
Elliott Wave คือ ทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้ "คลื่น" การเคลื่อนไหวของราคาในการคาดการณ์ทิศทางและแนวโน้ม โดยทฤษฎีนี้ถูกคิดค้นโดย ราล์ฟ เนลสัน อีเลียต (Ralph Nelson Elliott) ในช่วงทศวรรษ 1930 โดยเขาค้นพบว่า รูปแบบการเคลื่อนที่ของราคาในตลาด ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่มีรูปแบบที่เกิดซ้ำ ๆ เป็นวัฏจักร (Cycle) ซึ่งรูปแบบเหล่านี้สะท้อนถึงอารมณ์และจิตวิทยาของนักลงทุนที่ขับเคลื่อนราคาในตลาดด้วยความโลภและความกลัวสลับกันไปนั่นเองครับ
การวิเคราะห์ Forex ยังมีอีกหลายเทคนิค และเพื่อให้การเทรดยกระดับไปอีกขั้น สามารถเข้าไปเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิค Forex เพิ่มเติมได้ ที่นี่ |
Motive Wave และ Corrective Wave เป็นส่วนประกอบสำคัญในทฤษฎีอีเลียตเวฟ (Elliott Wave Theory) ซึ่งใช้วิเคราะห์รูปแบบราคาในตลาดการเงิน โดยทั้งสองคำนี้มีความหมายและลักษณะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้
1. Motive Waves : คลื่นตามแนวโน้ม |
Motive Waves คือ กลุ่มคลื่นที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก (Main Trend) ทั้งในตลาดขาขึ้นหรือตลาดขาลง และจะประกอบด้วยคลื่นย่อย 5 คลื่น ซึ่งจะใช้ตัวเลข 1-5 ในการนับคลื่น โดย Motive สามารถแบ่งประเภทคลื่นออกได้ 2 ประเภท ดังนี้
1.1) Impulse Wave
Impulse Wave คือ คลื่นที่บ่งบอกว่า ราคาในช่วงนั้นเป็นเทรนด์ที่แข็งแกร่ง เนื่องจากว่า คลื่นแบบ Impulse จะมีการปรับตัวขึ้นหรือลงอย่างชัดเจน โดยในแต่ละคลื่นจะมีการเคลื่อนตัวในระยะไกล และแข็งแกร่ง ซึ่งแต่ละคลื่นสามารถตีความหมายได้ ดังนี้
- คลื่น 1 (Wave 1) : เป็นการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ มักเกิดจากการที่นักลงทุนกลุ่มเล็ก ๆ เริ่มมองเห็นโอกาสและเข้าซื้อสวนทางแนวโน้มเดิม ปริมาณการซื้อขายยังไม่สูงมากนัก
- คลื่น 2 (Wave 2) : เป็นคลื่นปรับฐานของคลื่น 1 นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมองว่า เป็นเพียงการปรับตัวขึ้นหรือลงชั่วคราวในแนวโน้มเดิม โดยคลื่นนี้มักจะย้อนกลับมาทดสอบแนวรับหรือแนวต้านของคลื่นที่ 1 แต่จะไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1
- คลื่น 3 (Wave 3) : มักจะเป็นคลื่นที่ยาวและแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคลื่นขับเคลื่อนทั้งหมด เป็นช่วงที่นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มมั่นใจในแนวโน้มใหม่และเข้ามาซื้อตามอย่างคึกคัก ข่าวดีต่าง ๆ มักจะปรากฏในช่วงนี้
- คลื่น 4 (Wave 4) : เป็นคลื่นปรับฐานที่ซับซ้อนและคาดเดายาก เป็นช่วงที่ตลาดเริ่มมีการทำกำไร และแนวโน้มโดยรวมยังคงแข็งแกร่ง
- คลื่น 5 (Wave 5) : เป็นคลื่นสุดท้ายของแนวโน้มหลัก แรงซื้อเริ่มอ่อนกำลังลง แม้ว่าราคาจะยังทำจุดสูงสุดใหม่ได้ แต่ปริมาณการซื้อขายมักจะน้อยกว่าในคลื่น 3 เป็นช่วงที่นักลงทุนรายย่อยมักจะเข้ามาซื้อตามกระแสด้วยความคาดหวังสูง
1.2) Diagonal Wave
Diagonal Wave คือ คลื่นที่บ่งบอกว่า ราคาในช่วงนั้นเป็นเทรนด์ที่อ่อนแอ หรือเป็นช่วงปลายของแนวโน้มที่ใกล้จะหมดแรง คลื่นจะมีลักษณะการเคลื่อนที่ค่อนข้างทับซ้อนกันและบีบตัวเป็นรูปลิ่ม (Wedge) ซึ่งแสดงถึงความลังเลของตลาด และแต่ละคลื่นสามารถตีความหมายได้ ดังนี้
- คลื่น 1 (Wave 1) : เป็นการเคลื่อนที่เริ่มต้นที่ดูไม่แข็งแรงเท่าที่ควร มีลักษณะการขึ้นที่ค่อนข้างอ่อนแอ แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นใจในการเริ่มต้นแนวโน้ม หรือการพยายามฝืนเพื่อไปต่อ
- คลื่น 2 (Wave 2) : เป็นคลื่นปรับฐานของคลื่น 1 ซึ่งมักจะมีการปรับตัวลงมาลึก ทำให้ความเชื่อมั่นในทิศทางของแนวโน้มยิ่งลดน้อยลงไปอีก
- คลื่น 3 (Wave 3) : เป็นการเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มอีกครั้ง แต่จะไม่แข็งแกร่งและมักไม่ยาวไปกว่าคลื่น 1 มากนัก เป็นการยืนยันว่าแรงขับเคลื่อนของแนวโน้มนี้มีจำกัด
- คลื่น 4 (Wave 4) : เป็นคลื่นปรับฐานที่แสดงความอ่อนแอได้ชัดเจนที่สุด โดยจะมีการปรับตัวขึ้นหรือลงไป "ทับซ้อน" กับพื้นที่ราคาของคลื่น 1 ซึ่งเป็นกฎสำคัญของ Diagonal Wave และเป็นสัญญาณว่าแรงซื้อและแรงขายกำลังต่อสู้กันอย่างหนัก
- คลื่น 5 (Wave 5) : เป็นคลื่นสุดท้ายที่พยายามดันราคาไปทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่ เป็นแรงเฮือกสุดท้ายที่มักจะสั้นและอ่อนแรงกว่าคลื่น 3 อย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกว่าแนวโน้มนั้นหมดแรงอย่างสมบูรณ์แล้ว และพร้อมที่จะเกิดการ "กลับตัว" อย่างรุนแรงในไม่ช้า
2. Corrective Waves : คลื่นสวนแนวโน้ม |
หลังจากจบ Motive Waves ครบ 5 คลื่น ตลาดจะเข้าสู่ช่วงปรับฐาน (Correction) ซึ่งจะเคลื่อนที่สวนทางกับแนวโน้มหลัก ประกอบด้วยคลื่นย่อย 3 คลื่น โดยจะใช้ตัวอักษรในการนับ ดังนี้
-
คลื่น A (Wave A) : เป็นการเริ่มต้นของช่วงปรับฐานที่สวนทางกับแนวโน้มหลักก่อนหน้า นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะมองว่าเป็นการย่อตัวเพื่อไปต่อ
-
คลื่น B (Wave B) : เป็นการปรับตัวขึ้นแบบหลอก (Bull Trap ในแนวโน้มขาลง) ที่ทำให้นักลงทุนบางส่วนกลับเข้ามาซื้ออีกครั้งโดยเชื่อว่าแนวโน้มเดิมได้กลับมาแล้ว แต่โดยทั่วไปแล้ว คลื่น B จะไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าคลื่น 5 ได้
-
คลื่น C (Wave C) : เป็นคลื่นสุดท้ายของการปรับฐานที่มักจะมีความรุนแรงและชัดเจน เป็นช่วงที่นักลงทุนส่วนใหญ่เกิดความตกใจและเทขายสินทรัพย์ออกมา
เมื่อเข้าใจทฤษฎีแล้ว จะนำมาสร้าง กลยุทธ์ Elliott Wave ได้อย่างไร?
จุดเข้าเทรดที่ดีที่สุด คือ บริเวณปลายคลื่น 2 และปลายคลื่น 4 เพราะเป็นจุดที่ได้เปรียบในการเข้าเทรดตามแนวโน้มหลัก หลังจากที่ราคาย่อตัวจบแล้ว ทำให้มีอัตรา Risk Reward Ratio ที่ค่อนข้างดี
การตั้งเป้าหมาย (Take Profit) นิยมใช้ Fibonacci Extension ร่วมด้วย โดยเป้าหมายของคลื่น 3 มักจะอยู่ที่ 161.8% หรือ 261.8% ของความยาวคลื่น 1 และเป้าหมายของคลื่น 5 ก็สามารถคาดการณ์จากความสัมพันธ์กับคลื่น 1 หรือคลื่น 3 ได้
การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) กฎของ Elliott Wave ช่วยกำหนดจุด Stop Loss ได้อย่างชัดเจน
- หากเข้าเทรดที่คลื่น 2 ให้ตั้ง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1
- หากเข้าเทรดที่คลื่น 4 ให้ตั้ง Stop Loss ไว้ที่เหนือจุดสูงสุดของคลื่น 1
การตั้ง Stop Loss ยังมีเทคนิคอีกมากมาย หากต้องการศึกษาเทคนิคการตั้ง Stop Loss เพิ่มเติมสามารถอ่านได้ ที่นี่ |
อย่างไรก็ตาม Elliott Wave ควรใช้งานร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เสมอ เช่น RSI เพื่อดู Divergence ในคลื่น 5, MACD, หรือการวิเคราะห์แนวรับ-แนวต้าน เพื่อยืนยันสัญญาณและลดความผิดพลาด
ข้อดี |
ข้อเสีย |
|
|
Elliott Wave แม่นไหม? ใช้ได้จริงหรือเปล่า?
A : Elliott Wave มีทั้งความเป็นศาสตร์และศิลป์ ความแม่นยำขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้วิเคราะห์เป็นอย่างสูง มันไม่ใช่ระบบที่ทำนายอนาคตได้ 100% แต่เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการสร้าง "แผนที่" ของตลาด ทำให้เห็นภาพรวมและคาดการณ์โซนราคาที่มีนัยสำคัญได้
การนับคลื่น Elliott Wave ยากไหม?
A : การเริ่มต้นอาจท้าทาย เพราะต้องเรียนรู้กฎและรูปแบบของคลื่นปรับฐาน (Corrective Wave) ที่มีความซับซ้อน แต่เมื่อฝึกฝนบ่อย ๆ จนเกิดความชำนาญ การมองหาโครงสร้างคลื่นบนกราฟจะกลายเป็นเรื่องง่ายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ใช้ Elliott Wave กับ Time Frame เล็กในการเทรดแบบ Day Trade ได้ไหม?
A : ได้ครับ ทฤษฎีนี้มีคุณสมบัติที่เรียกว่า "Fractal" คือ มีรูปแบบคลื่นซ้อนอยู่ในคลื่น ทำให้สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุก Time Frame ตั้งแต่กราฟรายเดือนจนถึงรายนาที แต่การเทรดใน Timeframe สั้นมาก ๆ อาจจะเกิด "Noise" หรือสัญญาณรบกวนได้มากกว่า ซึ่งอาจทำให้การนับคลื่นคลาดเคลื่อนได้ง่ายนั่นเอง
ต้องใช้ Indicator ตัวไหนคู่กับ Elliott Wave ถึงจะดีที่สุด?
A : Indicator ที่เป็นเหมือนเพื่อนแท้ของ Elliott Wave คือ Fibonacci (ทั้ง Retracement และ Extension) เพราะอัตราส่วนของ Fibonacci มีความสัมพันธ์กับความยาวของคลื่นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังนิยมใช้ Oscillator เช่น RSI หรือ MACD เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของคลื่นและมองหาสัญญาณ Divergence ซึ่งมักเป็นสัญญาณเตือนการกลับตัวในปลายคลื่น 5 หรือในช่วงที่แต่ละคลื่นอยู่ในแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญ
โดยสรุปแล้ว Elliott Wave คือ ทฤษฎีการวิเคราะห์ที่มองว่า การเคลื่อนไหวของราคาในตลาด Forex เป็นผลมาจาก "จิตวิทยามวลชน" ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบของ "คลื่น" ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นวัฏจักร สร้างเป็น "แผนที่ตลาด" เพื่อให้นักเทรดสามารถคาดการณ์ทิศทางในอนาคตได้ แม้การเริ่มต้นศึกษาอาจต้องใช้เวลา แต่การเข้าใจทฤษฎี Elliott Wave จะมอบมุมมองที่ลึกซึ้งต่อพฤติกรรมของตลาด ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนการเทรดได้อย่างเป็นระบบ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาด Forex ได้อย่างยั่งยืน
หากคุณมีความสนใจในเรื่องของการลงทุนเหมือนกันกับผม
สามารถติดตามความรู้เกี่ยวกับ Forex ได้ทางเว็บไซต์ www.thaiforexreview.com
ติดตามความเคลื่อนไหวและการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Thaiforexreview
ติดตามข่าวสารการลงทุนและบทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์ได้ที่ Forex Analysis
อ่านบทความสาระดี ๆ ได้ที่ Blogs
อ่านรีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยมได้ที่ Top Brokers
แนะนำโบรกเกอร์สำหรับคุณ
