Swing Trade คืออะไร ? เทคนิคเทรดระยะยาวที่เทรดเดอร์นิยมใช้

ในโลกของตลาด Forex มีกลยุทธ์การเทรดหลากหลายรูปแบบที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่การเทรดแบบ Scalping ที่ต้องตัดสินใจในเสี้ยววินาที ไปจนถึงการเทรดระยะยาวแบบ Position Trading แต่มีกลยุทธ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ที่มาพร้อมกับความสมดุลระหว่างการใช้เวลาและผลตอบแทน นั่นคือ "Swing Trade"
บทความนี้จะเจาะลึกว่า Swing Trade คืออะไร, มีหลักการทำงานอย่างไร, เหมาะกับใคร และมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง เพื่อให้คุณเข้าใจและนำไปปรับใช้กับการเทรดของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Swing Trade คือ กลยุทธ์การเทรดระยะกลางที่เน้นทำกำไรจากความผันผวนของราคาในรูปแบบของ "วงสวิง" หรือ "คลื่น" โดยเทรดเดอร์จะเข้าซื้อขายและถือออเดอร์เป็นเวลาหลายชั่วโมง หลายวัน หรือจนถึงหลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับกรอบเวลา (Time Frame) ที่ใช้ เพื่อเป้าหมายในการทำกำไรจำนวนมากจากคลื่นราคาดังกล่าว
กลยุทธ์นี้อาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเครื่องมือหลักในการหาจังหวะเข้าเทรดและจุดกลับตัวของราคา โดยนิยมใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) เพื่อดูแนวโน้ม, แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance) เพื่อหาจุดเข้าและเป้าหมาย, ดัชนี RSI หรือ Stochastic เพื่อดูภาวะซื้อหรือขายที่มากเกินไป และ Fibonacci Retracement เพื่อหาจุดย่อตัวในการเข้าเทรดตามแนวโน้มหลัก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในการยืนยันแนวโน้มในระยะกลางถึงยาวเพิ่มเติมอีกด้วย
หัวใจของ Swing Trading คือการจับจังหวะของ "คลื่น" ราคาในแนวโน้มใหญ่ ดังนั้น การเลือกใช้อินดิเคเตอร์ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจได้อย่างมาก แทนที่จะใช้อินดิเคเตอร์ตัวเดียวโดด ๆ เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จมักจะใช้ชุดอินดิเคเตอร์ที่ทำงานร่วมกันเพื่อ "ยืนยันสัญญาณ" ซึ่งกันและกัน
โดยอินดิเคเตอร์ 3 ประเภทที่ Swing Trader นิยมใช้มากที่สุด ซึ่งมีหน้าที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่การระบุทิศทาง, การหาจังหวะเข้า ไปจนถึงการยืนยันโมเมนตัม
1. อินดิเคเตอร์ประเภทแนวโน้ม (Trend Indicators)
สิ่งแรกที่ Swing Trader ต้องรู้คือ "ตอนนี้ตลาดกำลังเป็นขาขึ้นหรือขาลง ?" อินดิเคเตอร์ประเภทแนวโน้มนี้จะช่วยตอบได้อย่างชัดเจน
-
Moving Average (MA)
Moving Average เป็นอินดิเคเตอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยเฉพาะเส้นค่าเฉลี่ยแบบ Exponential Moving Average (EMA) เพราะตอบสนองต่อราคาปัจจุบันได้เร็วกว่า โดยนิยมใช้ 2 เส้นตัดกันเพื่อยืนยันแนวโน้ม และยืนยันการกลับตัวของราคา
ตัวอย่างการใช้ Moving Average
EMA 20 และ EMA 50 : เมื่อเส้น EMA 20 (ระยะสั้น) ตัดขึ้นเหนือเส้น EMA 50 (ระยะกลาง) จะเป็นสัญญาณยืนยัน "แนวโน้มขาขึ้น" ในทางกลับกัน หากตัดลงก็จะยืนยัน "แนวโน้มขาลง" เทรดเดอร์จะใช้โซนราคาระหว่างเส้น EMA ทั้งสองเป็น "แนวรับ-แนวต้าน" เพื่อหาจังหวะเข้าเทรดตามเทรนด์
-
Ichimoku Kinko Hyo
Ichimoku Kinko Hyo เป็นอินดิเคเตอร์ที่ซับซ้อนแต่ทรงพลังอย่างมาก เพราะสามารถบอกได้ทั้งแนวโน้ม, แนวรับ-แนวต้าน และโมเมนตัมได้ในตัวเดียว สำหรับ Swing Trader จะเน้นดูองค์ประกอบหลักคือ "ก้อนเมฆ" (Kumo)
การใช้ Kumo : เมื่อราคาเคลื่อนไหวอยู่ "เหนือก้อนเมฆ" จะบ่งชี้ถึงสภาวะตลาดขาขึ้น (Bullish) อย่างชัดเจน โดยก้อนเมฆจะทำหน้าที่เป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง ในทางกลับกัน หากราคาเคลื่อนไหวอยู่ "ใต้ก้อนเมฆ" จะบ่งชี้ถึงสภาวะตลาดขาลง (Bearish) และก้อนเมฆจะกลายเป็นแนวต้านที่สำคัญที่ Swing Trader จะรอให้ราคาย่อตัวกลับมาทดสอบบริเวณขอบของก้อนเมฆก่อนจะหาจังหวะเข้าเทรดตามแนวโน้ม โดยจะมีเส้นสัญญาณอื่น ๆ คอยเป็นตัวช่วยยืนยันแนวโน้มเพิ่มเติม
2. อินดิเคเตอร์ประเภทโมเมนตัม (Momentum Oscillators)
หลังจากรู้ทิศทางแล้ว คำถามต่อไปคือ "ตอนนี้แรงซื้อหรือแรงขายเริ่มอ่อนกำลังแล้วหรือยัง ?" เพื่อหาจังหวะเข้าเทรดตอนที่ราคาย่อตัวหรือกลับตัว อินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator จะช่วยจับสัญญาณเหล่านี้ได้
-
Relative Strength Index (RSI)
Relative Strength Index (RSI เป็นอินดิเคเตอร์ที่วัดการแกว่งตัวของราคาเพื่อดูภาวะ ซื้อมากเกินไป (Overbought - ค่าสูงกว่า 70) และ ขายมากเกินไป (Oversold - ค่าต่ำกว่า 30)
-
Stochastic Oscillator
Stochastic Oscillator ทำงานคล้าย RSI แต่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคามากกว่า เหมาะสำหรับการหาจุดกลับตัวของ "วงสวิงย่อย"
3. เครื่องมือหาเป้าหมายและจุดตัดขาดทุน
เมื่อรู้ทิศทางและมีสัญญาณเข้าแล้ว สิ่งสุดท้ายที่ต้องกำหนดคือ "จะเข้าตรงไหน จะทำกำไรจุดไหน และจะตัดขาดทุนตรงไหน?"
-
Fibonacci Retracement
Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่งสำหรับ Swing Trader ใช้ในการวัด "การย่อตัว" ของราคาในแนวโน้มหลัก โดยระดับที่สำคัญคือ 38.2%, 50.0% และ 61.8% เทรดเดอร์จะรอให้ราคาย่อตัวลงมาทดสอบที่ระดับดังกล่าว ก่อนจะมองหาจังหวะเข้าเทรดตามเทรนด์ต่อไป
-
Pivot Points
Pivot Points คือ ระดับแนวรับ-แนวต้านที่คำนวณจากราคาของวันก่อนหน้า เป็นเป้าหมายราคาที่เป็นที่จับตาของเทรดเดอร์ทั่วโลก ทำให้ระดับดังกล่าวมักมีความสำคัญและราคาเกิดปฏิกิริยาอยู่บ่อยครั้ง
ข้อดี |
ข้อเสีย |
|
|
กลยุทธ์นี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่จะเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับคนกลุ่มนี้
1. เทรดเดอร์ Part-Time : ผู้ที่มีงานประจำหรือมีเวลาจำกัด ไม่สามารถเฝ้าหน้าจอได้ตลอดทั้งวัน เพราะ Swing Trading ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจบ่อย เพียงแค่วิเคราะห์กราฟและวางแผนการเทรดวันละครั้งก็เพียงพอ
2. ผู้ที่มีความอดทน : ผู้ที่สามารถรอคอยจังหวะที่ดีที่สุดได้โดยไม่รู้สึกกระวนกระวายใจหรือเทรดตามอารมณ์
3. ผู้ที่มองหาความสมดุล : สำหรับผู้ที่รู้สึกว่า การเทรดแบบ Day Trade นั้นเครียดและเร็วเกินไป แต่การลงทุนระยะยาวแบบ Position Trading ก็นานเกินไป Swing Trade จึงเป็นทางสายกลางที่ลงตัวสำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุลนั่นเองครับ
🚩Swing High กับ Swing Low คืออะไร ?
Swing High คือ จุดที่ราคาเคยขึ้นไปทำเอาไว้ และกลับตัวลงมา จุดสูงสุดที่เคยทำเอาไว้จะเรียกว่า "Swing High" ส่วน Swing Low คือ จุดที่ราคาเคยลงไปทำเอาไว้ และกลับตัวขึ้นไป จุดต่ำสุดที่เคยทำเอาไว้จะเรียกว่า "Swing Low"
🚩ระบบ Swing Trade มีหลักการใช้งานอย่างไร ?
การ Swing Trade เป็นการซื้อที่จุดเริ่มต้นแนวโน้มขาลง (แนวรับ) และขายที่จุดจบแนวโน้มขาขึ้น (แนวต้าน) โดยจะเป็นการหวังผลตอบแทนจากแนวโน้มในระยะยาว หรือแนวโน้มหลักนั่นเอง
🚩Day Trade กับ Swing Trade แตกต่างกันอย่างไร ?
Day Trade จะเป็นการเทรดระยะสั้น ๆ จบภายในหนึ่งวัน โดยจะไม่มีการถือออเดอร์ข้ามคืน ส่วน Swing Trade คือ การเทรดระยะกลาง ที่จะมีการถือออเดอร์ข้ามคืนไปหลายวัน เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ที่เน้นทำกำไรในระยะยาวนั่นเอง
Swing Trade คือ กลยุทธ์การเทรดระยะกลางที่ทรงพลังและมีความสมดุล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำกำไรจากภาพรวมของตลาดโดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา หัวใจสำคัญคือ การวิเคราะห์แนวโน้มให้ออก อดทนรอจังหวะที่ใช่ และมีแผนการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการถือออเดอร์ข้ามคืน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาแนวทางการเทรดที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่ไม่เร่งรีบ Swing Trade อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหาอยู่ก็เป็นได
อ้างอิง : Traderbobo
หากคุณมีความสนใจในเรื่องของการลงทุนเหมือนกันกับผม
สามารถติดตามความรู้เกี่ยวกับ Forex ได้ทางเว็บไซต์ www.thaiforexreview.com
ติดตามความเคลื่อนไหวและการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Thaiforexreview
ติดตามข่าวสารการลงทุนและบทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์ได้ที่ Forex Analysis
อ่านบทความสาระดี ๆ ได้ที่ Blogs
อ่านรีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยมได้ที่ Top Brokers
แนะนำโบรกเกอร์สำหรับคุณ
