List of content
Indicator คืออะไร ? ตัวช่วยเทรด Forex ที่เป็นประโยชน์กับเทรดเดอร์!
Indicator ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือคู่ใจเทรดเดอร์ เพราะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนของเทรดเดอร์ได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นในวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ Indicator ว่า แท้จริงแล้วมันคืออะไร? มีประโยชน์และแนวทางในการเลือกใช้อย่างไรกับการเทรดในตลาด Forex ติดตามได้ในบทความนี้กันครับ
Indicator หรือ อินดิเคเตอร์ คือ เครื่องมือชี้วัดทางเทคนิคที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด Forex โดยผ่านการคำนวณตัวเลขของราคาเปิด, ราคาสูงสุด, ราคาต่ำสุด, ราคาปิด หรือปริมาณการซื้อขายแล้วแสดงผลออกมาในรูปแบบของกราฟ เพื่อให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์แนวโน้มทิศทางราคาและวางแผนเพื่อหาจุดเข้าซื้อหรือจุดปิดออเดอร์ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้แก่เทรดเดอร์ครับ
เนื่องจาก Indicator สามารถช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของทิศทางราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้เทรดเดอร์ยังสามารถคาดการณ์จุดเข้าซื้อหรือจุดปิดออเดอร์เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเทรดและลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากขึ้น
► สามารถบอกจุดซื้อขายได้อย่างแม่นยำ
Indicator สามารถช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์ทิศทางของราคาได้ ซึ่งทิศทางของราคาสามารถบอกจุดซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ พร้อมทั้งยังสามารถบอกจุดที่เราสามารถเปิด-ปิดคำสั่งซื้อที่ให้ผลตอบแทนสูงครับ
► ช่วยลดความเสี่ยงในการเทรด Forex
เนื่องจากตลาด Forex ถือเป็นตลาดที่มีความผันผวนของราคาสูงทำให้ตลาด Forex มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นการใช้ Indicator เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ทิศทางของราคาจะช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการลงทุนและยังมีส่วนในการเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้เช่นกันครับ
► สามารถบอกทิศทางของตลาดที่ปลอดภัยในการเทรดได้
สามารถบอกทิศทางของราคาในตลาด ณ ช่วงเวลานั้นว่า ตอนนี้ราคาจะไปอยู่ในทิศทางใดจึงจะปลอดภัยที่สุดสำหรับการเทรด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า นักเทรดนั้นใช้ Indicator ประเภทไหน เนื่องจาก Indicator สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่
ประเภทของ Indicator ที่ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้ม
-
Indicator ที่ใช้ระบุทิศทางของแนวโน้ม (Trend)
-
Indicator ที่ใช้วัดแรงเหวี่ยงหรืออัตราเร่งของราคา (Momentum)
-
Indicator ที่ใช้วัดความผันผวน (Volatility)
-
Indicator ที่ใช้บอกปริมาณการซื้อขาย (Volume)
► วัดความผันผวนของราคาช่วยบอกจุด Stop Loss และ Take Profit ได้อย่างชัดเจน
Stop Loss หมายถึง จุดตัดขาดทุน ใช้เพื่อป้องกันการขาดทุนจากการเทรดเดอร์เมื่อราคาของสินทรัพย์ตกลงเกินกว่าที่เทรดเดอร์จะรับได้
Take Profit หมายถึง จุดตัดทำกำไร เป็นจุดที่เทรดเดอร์กำหนดไว้เพื่อต้องการทำกำไร เมื่อราคามาถึงจุดที่กำหนดไว้จะเป็นการสั่งปิดออเดอร์ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้พลาดโอกาสในการทำกำไร
ซึ่ง Indicator สามารถวิเคราะห์แนวโน้มของทิศทางราคาได้อย่างแม่นยำ ซึ่งมีส่วนช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตั้งคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit ได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในตลาดขาขึ้น-ลง เพื่อเป็นการทำกำไรและลดความเสี่ยงจากการเทรดในตลาด Forex ได้มากขึ้นครับ
- ศึกษา Indicator แต่ละชนิดให้ละเอียดจากนั้นเลือก Indicator ที่ต้องการใช้ให้เหมาะกับประเภทหรือสินทรัพย์การลงทุนหรือสไตล์การเทรดของแต่ละคน
-
เลือกใช้ Indicator ให้ตรงกับประเภทการใช้งาน เพราะจะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
-
ไม่ควรเลือกใช้ Indicator ที่มากจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดความสับสนในเชิงเทคนิคและการใช้งาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความถนัดของเทรดเดอร์แต่ละคนด้วยเช่นกันครับ
สำหรับ Indicator ที่เหล่านักเทรด Forex เลือกใช้นั้นมีอยู่หลายตัวมากครับ ยกตัวอย่างเช่น RSI, Stochastic Oscillator ฯลฯ ซึ่งผมขอยกตัวอย่าง Indicator ที่นักเทรด Forex ส่วนใหญ่ให้ความสนใจมาทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่
-
Moving Average (MA)
-
Moving Average Convergence Divergence (MACD)
-
Bollinger Bands (BB)
-
Relative Strength Index (RSI)
Moving Average (MA) เป็นอินดิเคเตอร์ที่ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในตลาด Forex และตลาดหุ้น Moving Average เป็นเส้นค่าเฉลี่ยที่บ่งบอกถึงแนวโน้มราคาของสินทรัพย์ในตลาด ซึ่ง Indicator ชนิดนี้ยังช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นแนวรับ-แนวต้านของราคาได้เช่นกัน โดยการนำข้อมูลราคาปิดย้อนหลังมาคำนวณและแปลงมาเป็นรูปของ “เส้นค่าเฉลี่ย” ครับ
ประเภทของ Indicator Moving Average (MA)
สำหรับประเภทของ Moving Average ที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่นิยมใช้กันจะมีทั้งหมด 2 ประเภทดังนี้ครับ
► Exponential Moving Average (EMA)
เป็นเส้นคาดการณ์แนวโน้มราคาโดยนำเอาราคาปิดในแต่ละวันมาหาค่าเฉลี่ย โดยให้ค่าน้ำหนักไปอยู่กับราคาปิดในวันล่าสุดมากที่สุด ซึ่งทำ Indicator EMA สามารถให้สัญญาณแนวโน้มของราคาได้เร็วกว่าแต่ก็อาจเกิดสัญญาณหลอกที่มากกว่าครับ
► Simple Moving Average (SMA)
เป็นเส้นคาดการณ์แนวโน้มราคาโดยนำเอาราคาปิดในแต่ละวันมาหาค่าเฉลี่ยเช่นเดียวกันกับ EMA และให้ค่าน้ำหนักของราคาปิดในแต่ละวัน “เท่า ๆ กัน” ซึ่งทำ Indicator SMA เกิดสัญญาณหลอกน้อยกว่าแต่ตอบสนองต่อสัญญาณแนวโน้มของราคาช้ากว่า EMA ครับ
ข้อแตกต่างและจุดควรระวังของการใช้ Indicator EMA และ SMA
เนื่องจาก Indicator EMA และ Indicator SMA มีทั้งข้อดีและข้อควรระวังที่เทรดเดอร์จะต้องระมัดระวังในการใช้งาน โดยสิ่งที่เทรดเดอร์จะต้องพึงระวังมีดังนี้ครับ
ดังนั้นแล้วเทรดเดอร์จะต้องเลือก Indicator ให้เหมาะกับสไตล์การเทรดของตนเอง เพื่อเพิ่มความสามารถของตัว Indicator และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเทรดให้ได้มากที่สุดครับ
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นอินดิเคเตอร์ที่ช่วยวัดแนวโน้มทิศทางราคาโดยการนำเอาเส้นของ Indicator EMA จำนวน 2 เส้นมาวัดความเปลี่ยนแปลงของราคาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นทิศทางราคาและแนวโน้มการแกว่งของราคาได้ชัดเจนมากขึ้นครับ ซึ่ง MACD ที่ใช้กันบ่อยจะมีดังนี้
-
MACD คือ ตัวเลขของ EMA(12) ลบด้วย EMA (26)
-
Signal Line คือ ตัวเลขค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของ MACD ย้อนหลัง 9 วัน
-
MACD Histogram คือ ส่วนต่างระหว่าง MACD และ Signal Line
Bollinger Bands (BB) เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดสภาวะของตลาดที่มีแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงราคา โดย Indicator ชนิดนี้มีหลักการทำงานโดยการใช้ Standard Deviation หรือ "SD" ซึ่งจะสร้างกรอบของเส้นราคาทั้งหมด
เส้นขึ้นมาเพื่อใช้ในการวิเคราะห์สภาวะของตลาดและพฤติกรรมของราคาที่มีการผันผวนครับ
ส่วนประกอบของ Bollinger Bands
Upper Bands |
คำนวณจาก SMA(20) + 2 เท่าของ SD(20) |
Middle Bands |
คำนวณจาก SMA(20) |
Low Bands |
คำนวณจาก SMA(20) - 2 เท่าของ SD(20) |
ซึ่งแต่ละส่วนประกอบจะช่วยให้เทรดเดอร์ทราบและวิเคราะห์แนวโน้มของราคา แนวรับ-แนวต้าน การเกิด Break out หรือแม้แต่ระดับความผันผวนของราคาครับ