Forex คืออะไร? มือใหม่เริ่มต้นเทรดยังไงดี?

Forex คืออะไร? ในปัจจุบันการลงทุนนั้นมีความหลากหลาย ทั้งการลงทุนระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเครื่องมือการลงทุนนั้นก็มีความหลากหลายเช่นกัน ทุกท่านรู้จัก Forex กันใช่ไหมครับ วันนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ Forex ว่าคืออะไร มือใหม่สามารถเริ่มต้นเทรดได้ยังไง ข้อดีและข้อเสียของ Forex รวมถึงการวางแผนเพื่อที่จะทำกำไรในตลาด Forex ด้วยครับ โดยบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านรู้จัก Forex มากขึ้นเองครับ
Forex ย่อมาจาก Foreign Exchange Market หรือ FX คือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องและมูลค่าสูงที่สุดในโลก โดยตลาด Forex นั้นจะเปิด 24 ชั่วโมง โดยจะหยุดวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะการแลกเปลี่ยนเงินตรานั้นอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิดและไม่จำเป็นต้องเป็นเทรดเดอร์
ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์ต้องการไปเที่ยวต่างประเทศโดยแลกเงิน 35,000 บาท ไปเป็นเงินดอลลาร์ (USD) ซึ่งตอนนั้นค่าเงินอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 35 บาท เทรดเดอร์จะได้เงิน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทันทีที่แลกเปลี่ยน ปรากฏว่า 3 วันต่อมา ค่าเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 36 บาท ทันทีที่เทรดเดอร์แลกคืนจะได้เงินจำนวน 36,000 บาท เท่ากับว่าเทรดเดอร์ได้กำไร 1,000 บาท นั่นถือว่าทุกท่านมีความข้องเกี่ยวกับตลาด Forex แล้ว
จะเห็นได้ว่า Forex ก็คือการแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่เกิดขึ้นในที่ต่าง ๆ แล้วการเทรด Forex ล่ะคืออะไร เป็นเพียงการเก็งกำไรจากค่าเงินใช่หรือไม่? ทีมงาน ThaiForexReview จะพาไปเจาะลึกเกี่ยวกับการเทรด Forex กันครับ
การเทรด Forex นั้นเป็นการเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของคู่เงินที่อยู่ในรูปแบบของ CFD ซึ่งทำให้นักลงทุนสามารถเทรดคู่เงินได้ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและขาลง อีกทั้ง ยังสามารถใช้ Leverage เพื่อเพิ่มอำนาจในการซื้อขายได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมากเหมือนกับการแลกเปลี่ยนเงินตราจริงนั่นเองครับ
ตัวอย่างการเทรด Forex แบบ CFD
นาย A มีเงินทุนในพอร์ต 10,000 บาท แต่ต้องการเก็งกำไรจากทองคำซึ่งมีราคาสูง จึงตัดสินใจใช้ Leverage ที่ 1:5 เพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อขายให้สามารถเข้าเทรดได้ โดยนาย A มีมุมมองว่า ในอนาคตราคาทองคำจะปรับตัวลง นาย A จึงตัดสินใจเข้าออเดอร์ Sell ที่ราคา 50,000 บาท ต่อทองคำ 1 บาท
เมื่อนำ Leverage เข้ามาช่วย จะเพิ่มอำนาจในการซื้อขายของนาย A ดังนี้
เงินทุนทั้งหมด = เงินทุนเริ่มต้น × Leverage
10,000 บาท × 5 = 50,000 บาท
เท่ากับว่านาย A สามารถเปิดสถานะ Sell ทองคำได้ที่มูลค่า 50,000 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับทองคำ 1 บาท พอดี
ต่อมา ราคาทองคำปรับตัวลง 5,000 บาท (จาก 50,000 เหลือ 45,000 บาท) ตามที่นาย A คาดการณ์ไว้
เนื่องจากนาย A เปิดออเดอร์ Sell (ยิ่งลงยิ่งได้กำไร) กำไรที่เกิดขึ้นจึงคำนวณได้ ดังนี้
กำไร = (ราคาที่เปิด Sell−ราคาปัจจุบัน)×ขนาดสัญญา
กำไร = (50,000 − 45,000) × 1 = 5,000 บาท
การเทรดครั้งนี้สร้างผลตอบแทนได้ถึง 5,000 บาท หรือ 50% ของเงินทุนเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม การเทรด Forex แบบ CFD ไม่ได้มีเพียงข้อดีจากการมี Leverage เท่านั้น แต่ยังมีข้อเสียที่ร้ายแรงอยู่ด้วย เมื่อใดก็ตามที่นักลงทุนทำการใช้ Leverage ในการซื้อขาย ความเสี่ยงก็จะทวีคูณมากยิ่งขึ้น ตามระดับ Leverage ที่เลือกใช้
จากตัวอย่างเดิม หากราคาไม่เป็นไปตามคาด แต่กลับปรับตัวขึ้น 5,000 บาท (ไปที่ 55,000 บาท) นาย A จะ ขาดทุน 5,000 บาท หรือ 50% ของเงินทุนเดิมทันที นั่นหมายความว่า เมื่อเกิดการขาดทุนที่มากเกินไป อาจจะทำให้พอร์ตการลงทุนสูญเงินได้ทั้งหมดนั่นเองครับ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างคร่าว ๆ เพื่อให้เห็นภาพเท่านั้น ซึ่งในบทความนี้จะมีการอธิบายการเทรด Forex แบบ CFD ให้ดูในหัวข้อ “สอนเทรด Forex” อ่านเลย!
เนื่องจากตลาด Forex มีสภาพคล่องและมูลค่าสูงที่สุดแล้ว ซึ่งในตลาด Forex นั้นไม่ได้มีแค่เทรดเดอร์หรือบุคคลธรรมดาทั่วไป แต่ยังมีอีกหลายผู้เล่นที่เกี่ยวข้องกับตลาด Forex โดยจะพาทุกท่านมารู้จักผู้เล่นในตลาด Forex มีดังนี้ครับ
- ธนาคารกลางรัฐบาล
- ธนาคารพาณิชย์
- กองทุนระหว่างประเทศ
- บริษัทระหว่างประเทศ
- ธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
- เทรดเดอร์และบุคคลธรรมดาทั่วไป
นอกจากผู้เล่นในตลาดที่หลากหลายแล้ว ตลาด Forex ยังมีคู่เงินที่หลากหลายคู่ ที่ทุกท่านสามารถเทรดได้ ทางทีมงาน Thaiforexreview จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักคู่เงินหลักในตลาด Forex ที่มีสภาพคล่องในการเทรดกันครับ
คู่เงินในตลาด Forex นั้นมีหลากหลายคู่เงิน โดยจะแบ่งเป็น 3 ประเภท หลัก ๆ ตามความนิยมและสภาพคล่องมีดังนี้ครับ
คู่เงินหลัก (Major Currency Pairs)
คู่เงินหลัก คือ คู่เงินที่มีสกุลเงินดอลลาร์ (USD) อยู่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่เงินที่มีปริมาณการซื้อขายที่สูงที่สุดในโลก บ่งบอกถึงความนิยมและสภาพคล่องในคู่เงินหลัก โดยตัวอย่างคู่เงินหลักมีดังนี้
- EUR/USD
- GBP/USD
- USD/JPY
- AUD/USD
- USD/CHF
- NZD/USD
- USD/CAD
คู่เงินรอง (Minor Currency Pairs)
คู่เงินรอง คือ คู่เงินที่ไม่มีสกุลเงินดอลลาร์ (USD) หรือจะเรียกอีกชื่อว่า Cross Currency Pairs ซึ่งคู่เงินรองนั้นจะมีสภาพคล่องน้อยกว่าคู่เงินหลัก โดยตัวอย่างคู่เงินรองมีดังนี้
- EUR/JPY
- GBP/JPY
- CHF/JPY
- AUD/NZD
คู่เงินทางเลือก (Exotic Currency Pairs)
คู่เงินทางเลือก คือ คู่เงินที่ประกอบไปด้วยสกุลเงินดอลลาร์ (USD) กับ สกุลเงินประเทศอื่นจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หรือประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็ก โดยในคู่เงินทางเลือกนั้นจะมีสภาพคล่องค่อนข้างต่ำที่สุดในบรรดากลุ่มคู่เงินทั้งหมด โดยตัวอย่างคู่เงินทางเลือกมีดังนี้
- USD/TRY
- USD/ZAR
- USD/MXN
- USD/SGD
- USD/HKD
เทรด Forex ช่วงเวลาไหนดี นอกจากเทรดเดอร์ทุกท่านจะทราบแล้วว่าตลาด Forex นั้นเปิด 24 ชั่วโมง ปิดวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ไม่ใช่ทุกช่วงเวลาจะเหมาะกับการเทรดครับ เพราะมันอาจจะทำให้ปริมาณการเทรดและความเคลื่อนไหวแตกต่างกัน ดังนั้น เทรดเดอร์ก็ควรให้ความสำคัญกับช่วงเวลาในการเทรดเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าเทรดเดอร์เทรดในช่วงที่ตลาดไม่มี Volume ก็จะส่งผลให้เทรดเดอร์อาจทำกำไรได้น้อยลง โดยช่วงเวลา Forex มีดังนี้
ภูมิภาค |
ช่วงเวลาเทรด Forex ตามเวลา GMT |
อเมริกา (USD) |
19.00 - 03.00 น. |
ลอนดอน (GBP) |
15.00 - 23.00 น. |
ออสเตรเลีย (AUD) |
05.00 - 13.00 น. |
โตเกียว ญี่ปุ่น (JPY) |
06.00 - 14.00 น. |
ฝรั่งเศส (CHF) |
13.00 - 21.00 น. |
ยุโรป (EUR) |
14.00 - 23.00 น. |
แคนาดา (CAD) |
19.00 - 03.00 น. |
*หมายเหตุ : เวลาข้างต้นเป็นเพียงเวลาทำการของแต่ละตลาดในช่วงปกติเท่านั้น หากเข้าสู่ฤดูหนาว (Daylight Saving Time) เวลาทำการจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นช้าลง 1 ชั่วโมง เช่น ตลาด New York ที่ปกติจะเปิดเวลา 19.00 น. และปิดเวลา 4.00 น. จะเปลี่ยนแปลงเป็นเปิดเวลา 20.00 น. และปิดเวลา 5.00 น. เป็นต้นครับ
หากเทรดเดอร์มือใหม่ต้องการเทรด Forex เทรดเดอร์ควรเริ่มจากการศึกษาความรู้พื้นฐานการเทรด Forex เป็นอันดับแรก โดยเทรดเดอร์สามารถเรียนรู้ตามลำดับที่ทีมงานได้จัดเตรียมมาให้ ดังนี้
- คำศัพท์ Forex พื้นฐาน
- แนวรับ-แนวต้าน
- การวิเคราะห์เบื้องต้น
- การบริหารความเสี่ยง
- การสร้าง Mindset ที่ดีในการเทรด
โดยทั้งหมดนี้ มีสอนอยู่ในบทความ “สอนเทรด Forex ตั้งแต่เริ่มต้น ต้องเริ่มอย่างไร” ซึ่งเทรดเดอร์สามารถเข้าไปอ่านได้ ที่นี่
นอกจากความรู้ในการเทรดแล้ว เทรดเดอร์ควรเลือกเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งในปัจจุบันมีโบรกเกอร์จำนวนมากที่ให้บริการในประเทศไทย โดยตัวอย่างของโบรกเกอร์ที่ได้รับความนิยมในไทยเช่น IUX, XM และ Exness เป็นต้น
มือใหม่เปิดบัญชี Forex ต้องดูอะไรบ้าง?
สำหรับการเลือกเปิดบัญชี Forex นั้น เทรดเดอร์จำเป็นต้องดูหลาย ๆ อย่าง เนื่องจากมีโบรกเกอร์หลากหลายแห่ง ทั้งบริการดีและมีข่าวที่ไม่ดี โดยมือใหม่ทุกท่านสามารถดูเบื้องต้นดังนี้ครับ
- ความน่าเชื่อถือและการควบคุมดูแลของโบรกเกอร์
- รีวิวการใช้งานจริง ทั้งจากเว็บไซต์รีวิวโบรกเกอร์ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนกลุ่ม Community ต่าง ๆ
- ประเภทของบัญชี เนื่องจากมีหลากหลายประเภท เช่น บัญชี Standard หรือบัญชี Pro โดยแต่ละบัญชีก็มีรายละเอียดและอัตราค่าบริการแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการใช้งาน
- ค่าบริการของโบรกเกอร์ เช่น ค่า Spread ค่า Swap และค่า Commission
- ขนาดของ Leverage ที่โบรกเกอร์กำหนดให้ ถ้าเทรดเดอร์มือใหม่ไม่ระวัง การใช้ Leverage ที่มากจนเกินไปก็อาจทำให้สูญเสียเงินทั้งหมดได้
- แพลตฟอร์มการซื้อขาย เช่น แพลตฟอร์มของโบรกเกอร์เอง MetaTrader4 และ MetaTrader5 ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มก็มีเครื่องมือ รวมถึงฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน
- การฝากและการถอนเงินของโบรกเกอร์ รวมถึงความสะดวกรวดเร็วในการฝากและถอนเงิน
- การบริการลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์ อีเมล หรือ Live Chat
เทรดเดอร์สามารถเข้าไปศึกษาวิธีการเลือกโบรกเกอร์ฉบับมือใหม่ได้ ที่นี่
หากเทรดเดอร์มือใหม่ยังไม่มั่นใจว่าจะเลือกเปิดบัญชี Forex กับโบรกเกอร์ไหนสามารถอ่านต่อได้ ที่นี่ |
Tip! เนื่องจากมือใหม่ที่เข้ามาศึกษาในตลาด Forex อาจจะยังรับความเสี่ยงจากการเทรดได้ไม่มาก แต่ละโบรกเกอร์มีบริการให้เปิดบัญชีทดลอง (Demo) ด้วยนะครับ เทรดเดอร์มือใหม่ควรศึกษาข้อมูลและทำการประเมินความเสี่ยง วางแผนการเทรด การใช้ Leverage รวมถึง Money Management ในการเทรดด้วยนะครับ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดและการทำกำไรอย่างยั่งยืนครับ
สำหรับวิธีการเทรด Forex ในเบื้องต้น อาจจะดูเป็นเรื่องที่เข้าใจยากและซับซ้อนสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ ในวันนี้ทางทีมงาน Thaiforexreview จะพาเทรดเดอร์ทุกคนมาเริ่มต้นเทรดกันในระดับพื้นฐาน เพื่อให้เข้าใจว่า ในการเทรดต้องทำอะไรบ้าง
1. เลือกคู่เงินหรือสินทรัพย์ที่ต้องการเทรด
ก่อนที่จะเริ่มต้นเทรดกัน เทรดเดอร์จะต้องศึกษาตัวเองก่อนว่า เทรดเดอร์ชอบลงทุนในสินทรัพย์ไหน หรือมีความเข้าใจในสินทรัพย์อะไรมากที่สุด แล้วค่อยเลือกว่า จะเทรดสินทรัพย์ไหน เพราะถ้าหากว่า เทรดเดอร์ไม่ได้มีความรู้หรือความเข้าใจในสินทรัพย์ที่จะเทรด เหมือนกับเป็นการโยนหินถามทาง โดยที่ไม่รู้เลยว่า เส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ดังนั้น เทรดเดอร์จำเป็นจะต้องเข้าใจว่า สินทรัพย์นั้น มีปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบต่อราคาบ้าง และคนส่วนมากชอบซื้อขายสินทรัพย์นี้ในช่วงเวลาไหน เพื่อให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับ
2. วิเคราะห์หาจุดเข้าเทรด
หลังจากที่เทรดเดอร์ทราบแล้วว่า เทรดเดอร์ต้องการที่จะเทรดสินทรัพย์อะไร เทรดเดอร์จะต้องมาเข้าใจหลักกการในการวิเคราะห์เพื่อหาจุดเข้าต่อ
โดยการวิเคราะห์เพื่อหาจุดเข้านั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีหลักการตายตัว เพราะว่า มุมมองหรือความเข้าใจที่มีต่อกราฟราคาของเทรดเดอร์แต่ละคนนั้นมีไม่เหมือนกัน แต่ในวันนี้ทางทีมงาน Thaiforexreview จะมาแนะนำวิธีการวิเคราะห์กราฟราคา เพื่อให้เข้าใจหลักการเบื้องต้นว่า ก่อนเข้า Buy หรือ Sell ต้องทำอะไรก่อนบ้าง ซึ่งเทรดเดอร์สามารถทำตามขั้นตอนได้ ดังนี้
-
วิเคราะห์แนวโน้ม
การวิเคราะห์เพื่อหาแนวโน้มนั้น เป็นสิ่งแรกที่ต้องทำในการวิเคราะห์กราฟ เพื่อให้เทรดเดอร์ได้ทราบถึงสถานการณ์ในปัจจุบันว่า กราฟอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แนวโน้มขาลง หรือไม่มีแนวโน้ม และนำไปต่อยอดในการวิเคราะห์หาจุดเข้าต่อไป
โดยแนะนำให้ดูจากภาพใหญ่ก่อน แล้วจึงค่อยลงมาภาพเล็ก เช่น ดูกราฟใน Time Frame Day ก่อน แล้วค่อยลดระดับลงมาดู Time Frame 4H, 1H เพื่อหาแนวโน้มหลัก แนวโน้มย่อย และหาหน้าเทรด ส่วน 30M, 15M และ 5M ใช้ดูการกระทำของราคา ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เห็นมุมมองจากทั้งแนวโน้มหลักจาก Time Frame ใหญ่และแนวโน้มย่อยใน Time Frame ที่เล็กลงมานั่นเองครับ
-
หาแนวรับ-แนวต้าน
ต่อจากการหาแนวโน้มของราคาแล้ว มาต่อกันที่การหาแนวรับ-แนวต้านกันครับ การหาแนวรับ-แนวต้าน สามารถทำได้อย่างง่ายตามตัวอย่างนี้
แนวรับ-แนวต้านจะสามารถวิเคราะห์ได้หลายแบบ แต่วิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด คือ การตีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ด้วย “กรอบสี่เหลี่ยม” หรือการตีเส้น Trend Line ในจุดที่ราคามีการกลับตัวบ่อยครั้ง เพื่อสร้างจุดสังเกตการณ์ให้กับเทรดเดอร์ว่า ราคาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เช่น การ Break Out หรือการกลับตัว เป็นต้น
-
กำหนดจุดเข้าเทรด
การกำหนดจุดเข้าเทรด เป็นส่วนที่ต่อจากการวิเคราะห์หาแนวรับ-แนวต้าน ซึ่งจะเป็นส่วนที่ต้องดูการกระทำของราคาที่บริเวณแนวรับ-แนวต้านดังกล่าว เช่น ราคาเกิดสัญญาณ Divergence ที่แนวรับ หรือราคาเกิดการ Break Out ที่แนวต้านย่อย เป็นต้น เมื่อได้สัญญาณดังกล่าวมาแล้ว จึงจะสามารถกำหนดจุดเทรดคร่าว ๆ ได้แล้วครับ
3. เลือกวิธีการเข้าเทรด
วิธีการเข้าเทรด มีอยู่หลากหลายวิธีการ โดยวิธีการในที่นี้ คือ การเลือกที่จะเข้า Buy หรือ Sell ซึ่งยังสามารถกำหนดลักษณะการเข้า Buy/ Sell ได้เพิ่มเติมจาก Pending Order
เมื่อเทรดเดอร์ได้จุดเข้าเทรดที่แน่นอนแล้ว เทรดเดอร์สามารถเลือกเข้าเทรดได้ทันที เมื่อเกิดสัญญาณ แต่ถ้าหากว่า สัญญาณยังไม่เกิด แต่คาดการณ์ว่า จะเกิดแน่นอน เทรดเดอร์สามารถตั้ง Pending Order เผื่อไว้ได้เช่นกันครับ
4. ตั้งจุดกำไรขาดทุน
หลังจากที่ได้เข้าเทรดหรือตั้ง Pending Order เรียบร้อยแล้ว การตั้งจุดกำไร (Take Profit) ขาดทุน (Stop Loss) เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่สุด เพราะว่าในการเทรด Forex เทรดเดอร์ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับราคาบ้าง ดังนั้น การตั้งจุดกำไรขาดทุน เปรียบเสมือนการเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่คาดเดาได้ยากนั่นเองครับ
เทรดเดอร์มีหลายสาย ยิ่งในตลาด Forex นั้นมีการวิเคราะห์และเทคนิคที่หลากหลาย เทรดเดอร์สามารถเป็นเทรดเดอร์สายไหนก็ได้ ประเภทของเทรดเดอร์จะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทดังนี้
1. สายวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
สายเทรด Forex แบบวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น จะใช้ข้อมูลในอดีตอย่าง ราคาเปิด ราคาปิด จุดสูงสุด จุดต่ำสุด ปริมาณการซื้อขาย พฤติกรรมของราคา รวมถึงการใช้อินดิเคเตอร์ Forex มาช่วยตัดสินใจในการเทรด เพื่อให้การเทรดนั้นมีประสิทธิภาพในการทำกำไรได้ดีขึ้น โดยจะไม่ใช้ข้อมูลของปัจจัยพื้นฐานเข้ามาร่วมด้วย เนื่องจากเทรดเดอร์เหล่านี้ มีมุมมองว่า "สถานการณ์ต่าง ๆ ถูกสะท้อนผ่านราคาทั้งหมดแล้ว"
2. สายวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis)
สายเทรด Forex แบบวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานนั้นจะใช้ข้อมูล เศรษฐกิจ การเงิน สถานการณ์หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ และข่าวสาร เพื่อประเมินมูลค่าของสกุลเงิน อีกทั้งยังเป็นการประเมินแนวโน้มระยะยาวของสกุลเงินด้วย
3. สายเทรด Forex แบบเล่นชนข่าว (Sentiment Analysis)
สายเทรด Forex แบบเทรดชนข่าวจะโฟกัสกับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจบน Forex Factory มาก เพราะการประกาศตัวเลขที่ออกมานั้นจะส่งผลให้ราคาของคู่เงินเกิดการเปลี่ยนแปลง และเทรดเดอร์สามารถทำกำไรในช่วงนั้นได้ครับ
การเทรด Forex ยังมีรูปแบบการเทรดที่นอกเหนือจากนี้ เทรดเดอร์สามารถเข้าไปเรียนรู้ประเภทการเทรดเพิ่มเติมได้ที่นี่